ธุรกิจถุงมือยาง โอกาสใหม่ของผู้ประกอบการไทยหลังโควิด (บทวิเคราะห์)
แม้สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบกับธุรกิจทั่วโลก แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ
โอกาสในที่นี้คือโอกาสของ ธุรกิจถุงมือยาง ที่ความต้องการมีเพิ่มขึ้นทุกประเทศทั่วโลก
4 เดือนแรกของปี 2020 มูลค่าการส่งออกถุงมือยางไทยเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 449 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณการส่งออกถุงมือยาง 7,321 ล้านคู่ ขยายตัว 23%
แม้ไทยจะเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพารามากที่สุดในโลก แต่หากโฟกัสเฉพาะผลิตภัณฑ์ “ถุงมือยาง” ประเทศผู้ส่งออกถุงมือยางรายใหญ่ของโลกคือ “มาเลเซีย” และ “ไทย” คือ เบอร์ 2
ถุงมือยางเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพของไทย สร้างรายได้เข้าประเทศถึงราว 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี
ปี 2010-2019 การขยายตัวของความต้องการใช้ถุงมือยางของโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี โดยมีปัจจัยหนุนทั้งจากการขยายตัวของจำนวนประชากรโลก
รวมถึงถุงมือยางยังเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์การใช้งานของโลก ทั้งการใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น อาหาร เครื่องดื่ม อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และการใช้ในภาคสาธารณสุข ซึ่งสะท้อนการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในประเทศต่าง ๆ
Malaysian Rubber Glove Manufacturers Association (MARGMA) คาดการณ์ความต้องการใช้ถุงมือยางของโลกโดยรวมในปี 2020 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไว้ว่าจะอยู่ที่ 300,000 ล้านชิ้น
และในเดือนมีนาคมได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการใช้ถุงมือยางของโลกโดยรวมอยู่ที่ 345,000 ล้านชิ้น
เช่นเดียวกับ EIC มองว่า ความต้องการใช้ถุงมือยางของโลกโดยรวมในปี 2020 น่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 360,000 ล้านชิ้น หรือเพิ่มขึ้น 20% จากประมาณการเดิมในสถานการณ์ปกติ
โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการถุงมือทางการแพทย์ที่พุ่งสูงขึ้นไปแตะระดับ 60,000 ล้านชิ้น หรือเพิ่มขึ้น 57% จากสถานการณ์ปกติ
EIC ยังมองว่า มาเลเซียและไทยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกถุงมือทางการแพทย์ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมาเลเซียมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์มากกว่าไทย เนื่องจากมีศักยภาพในการผลิตเพื่อป้อนตลาดโลกได้มากกว่า
ปัจจุบันมาเลเซียและไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางรายใหญ่ของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดการส่งออกถุงมือยางที่ 62% และ 13% ของปริมาณการส่งออกโดยรวมทั้งโลกตามลำดับ

ขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน อินโดนีเซีย เบลเยียม เวียดนาม มีส่วนแบ่งตลาดด้านปริมาณการส่งออกถุงมือยางรวมกันคิดเป็น 25% ของปริมาณการส่งออกโดยรวม
นอกจากการผลิตและส่งออกถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นแล้ว ไทยยังได้รับอานิสงส์ทางอ้อมเพิ่มเติมจากการส่งออกน้ำยางข้นให้คู่ค้าหลักอย่างมาเลเซีย เพื่อนำไปผลิตเป็นถุงมือทางการแพทย์เพื่อส่งออก
4 เดือนแรกมูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นจากไทยไปมาเลเซียอยู่ที่ 176 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 7%
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือทางการแพทย์ ซึ่งความต้องการที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวช่วยหนุนให้ราคาส่งออกน้ำยางข้นจากไทยไปมาเลเซียในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2020 แตะระดับ 1,002 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน หรือเพิ่มขึ้น 10%
ทั้งนี้ EIC แนะภาครัฐเร่งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตถุงมือยาง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ควบคู่ไปกับพัฒนาคุณสมบัติของถุงมือยางให้สามารถตอบโจทย์เทรนด์การใช้งานที่มีความหลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
และมองว่าการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในระดับต้นน้ำอย่างผู้ผลิตน้ำยางข้นไทย สามารถยกระดับตัวเองไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าปลายน้ำอย่างถุงมือยางได้
ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ จะช่วยยกระดับเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น เพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยางโดยรวม และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น
ปัจจุบันอุตสาหกรรมถุงมือยางของไทย มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงรายเดียวที่ครองส่วนแบ่งกำลังการผลิตถุงมือยางถึง 80% ของกำลังการผลิตรวมทั้งประเทศ
แตกต่างจากมาเลเซียที่ประกอบไปด้วยผู้ประกอบการรายใหญ่จำนวน 4 ราย ได้แก่ Top Glove, Hartalega, Supermax และ Kossan ซึ่งครองส่วนแบ่งกำลังการผลิตถุงมือยางรวมกันประมาณ 68% ของกำลังการผลิตรวมทั้งประเทศ
ส่วนที่เหลืออีก 32% ประกอบไปด้วยผู้ประกอบการรายกลางและเล็กจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างผู้เล่นในอุตสาหกรรมถุงมือยางในมาเลเซียที่ค่อนข้างกระจายตัวได้ดีกว่า
Website : Marketeeronline.co /
