ตลาดโฆษณา ปี 2563 ครึ่งปีแรกติดลบ 13% สาเหตุจากโควิดอย่างเดียวหรือ ? (วิเคราะห์)

ผ่านไปครึ่งปีสำหรับธุรกิจโฆษณาในประเทศไทย ที่ต้องฝ่าฟันวิกฤตที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้นักการตลาดส่วนหนึ่งชะลอการใช้เม็ดเงินลงไป

แต่ในวิกฤตยังมีโอกาสเพราะยังมีแบรนด์ไม่น้อยที่เห็นความสำคัญกับการทำโฆษณาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำสื่อสารแบรนด์ และตัวสินค้าสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคอยู่เสมอ

ส่วนหนึ่งเพราะแบรนด์มองว่า

1. ในกรณีที่สินค้ามียอดจำหน่ายที่ชะลอตัวการสร้าง Brand Awareness อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงแบรนด์ต่อเนื่องว่าแบรนด์ไม่หนีหายไปไหน และแน่นอนว่าเมื่อลูกค้าต้องการที่จะซื้อสินค้าอีกครั้ง จะคิดถึงแบรนด์ที่ทำตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นแบรนด์แรก ๆ

2. วิกฤตโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้ามากขึ้น จากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น ความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย ยารักษาโรคที่มีมากขึ้น หรือแม้แต่การปรับตัวของแบรนด์ที่มีพอร์ตโฟลิโอสินค้าจำนวนมากนำสินค้าที่เหมาะสมกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปขับเคลื่อนธุรกิจผ่านกลุ่มสินค้าใหม่ ๆ

ซึ่งการนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด หรือสินค้าที่ไม่เคยสร้างการรับรู้ในวงกว้างมาก่อน แบรนด์ย่อมลงทุนเม็ดเงินจำนวนหนึ่งสร้างการรับรู้ในตัวสินค้า เพื่อผลักดันสู่ยอดจำหน่าย

จากสถานการณ์ทั้งทางบวกและทางลบในธุรกิจโฆษณา ผลักดันให้อุตสาหกรรมโฆษณาครึ่งปีแรก 2563 ติดลบ 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2562 อ้างอิงจากข้อมูลนีลเส็น

จากมูลค่า 58,992 ล้านบาท เหลือเพียง 51,213 ล้านบาท

โดย 4 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ใช้เม็ดเงินลดลง ได้แก่

กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มใช้เม็ดเงินลดลง 22% หรือเพียง 7,153 ล้านบาท

กลุ่มยานยนต์ ลดลง 32% เหลือมูลค่า 3,081 ล้านบาท

กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเครื่องสำอาง ลดลง 10% เหลือมูลค่า 6,669 ล้านบาท

กลุ่ม Media & Marketing ลดลง -2% มูลค่า 6,240 ล้านบาท

ส่วน กลุ่มที่มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นได้แก่

กลุ่มยา มูลค่า 2,797 ล้านบาท ใช้เม็ดเงินเพิ่มขึ้น 22%

กลุ่มสินค้าครัวเรือนในบ้าน มูลค่า 1,865 ล้านบาท ใช้เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา

และถ้ามองเฉพาะเดือนมิถุนายน 2563 อุตสาหกรรมโฆษณายังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด19 ด้วยมูลค่าเม็ดเงินที่ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

 

โฆษณา มิถุนายน 2563 เกือบครึ่งกระดานมีแต่โฮมช้อปปิ้ง

TV DIRECT DIRECT SALES มิถุนายน 2563 251.70 ล้านบาท (มิถุนายน 2562 99.59 ล้านบาท)

29 SHOPPING DIRECT SALES มิถุนายน 2563 141.75 ล้านบาท (มิถุนายน 2562  14.59 ล้านบาท)

RS MALL DIRECT SALES มิถุนายน 2563 136.41 ล้านบาท (มิถุนายน 2562 0 บาท)

OK HERBAL COLOURANTS มิถุนายน 2563 97.18 ล้านบาท (มิถุนายน 2562  38.07 ล้านบาท)

O SHOPPING DIRECT SALES มิถุนายน 2563 95.80 ล้านบาท (มิถุนายน 2562  81.74 ล้านบาท)

FUZ FIZ HARD BOILED CANDY มิถุนายน 2563 72.70 ล้านบาท (มิถุนายน 2562  0 บาท)

DOWNY FABRIC CONDITIONER มิถุนายน 2563  60.80 ล้านบาท (มิถุนายน 2562  63.58 ล้านบาท)

NESCAFE COFFEE READY MIXED มิถุนายน 2563  54.27 ล้านบาท (มิถุนายน 2562  49.99 ล้านบาท)

TESCO-LOTUS SUPERCENTER มิถุนายน 2563 52.60 ล้านบาท (มิถุนายน 2562  56.58 ล้านบาท)

L’OREAL BEAUTY SHAMPOOS มิถุนายน 2563 51.18 ล้านบาท (มิถุนายน 2562 0 บาท)

 

โดยแบรนด์ที่มีการใช้เม็ดเงินใน ตลาดโฆษณา ปี 2563 สูงสุด 10 อันดับแรกในเดือนมิถุนายน 2563 มากกว่า 4 แบรนด์เป็นแบรนด์โฮมช้อปปิ้งจากการมองเห็นโอกาสในการขายผ่านการยิงโฆษณาถี่ ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นและรู้สึกคล้อยตาม

แต่มูลค่าของโฆษณาในกลุ่มโฮมช้อปปิ้งที่แจ้งโดยนีลเส็น แม้จะดูเหมือนมีมูลค่าที่สูง แต่ในความเป็นจริงแล้วมูลค่าที่แบรนด์จ่ายจริงให้กับช่องน้อยกว่านั้น

ซึ่งสิ่งนี้มาจากช่องทีวีมีการดีลหลังนำช่วงเวลาที่ว่างมาเสนอขายพร้อมลดเปอร์เซ็นต์ให้แบรนด์ทีวีโฮมช้อปปิ้งในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อหวังรายได้ให้กับช่องแทนการปล่อยให้สลอตเวลาว่างไปฟรี ๆ ซึ่งการดีลหลังบ้านระหว่างช่องกับแบรนด์โฮมช้อปปิ้ง ทำให้นีลเส็นไม่สามารถทราบมูลค่าที่แท้จริงได้ ส่วนมูลค่าที่แจ้งเป็นการคิดโฆษณาด้วยการนำเรทการ์ดของช่องมาคำนวณหักส่วนลดตามปกติเท่านั้น

รวมถึงช่องแปดของอาร์เอสที่มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจด้วยการนำทีวีโฮมช้อปปิ้ง RS MALL DIRECT SALES ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออาร์เอสเป็นรายได้หลักในการหารายได้ให้กับองค์กร การจ่ายค่าโฆษณาให้กับช่องจึงเป็นเหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer