GMM GOODS หรือ ธุรกิจขายตรง จะเป็นแม็กเน็ตใหม่สร้างรายได้ให้กับ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค (วิเคราะห์)
จากตอนช่วงต้นปี หัวเรือใหญ่ของธุรกิจเพลงอย่าง ‘ภาวิต จิตรกร’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เคยให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวว่า จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 10%
มาวันนี้อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เคยคาดไว้เพราะจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เข้ามากระทบ ภาวิตบอกว่า แม้จะไม่ได้ตั้งเป้าเติบโตเท่าเดิม แต่ปีนี้ “จะทำทุกทางไม่ให้ขาดทุน”
หนึ่งในโมเดลที่จะเข้ามาสร้างรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจจีเอ็มเอ็ม มิวสิค ของแกรมมี่ คือ Artist Product ที่ศิลปินเป็นเจ้าของร่วมกัน
ผลักดันให้เกิด “ธุรกิจขายตรง” (SLM) ในชื่อ “GMM GOODS” ที่เป็นอีกหนึ่งในขั้นบันไดที่ 2 ที่เขาเคยพูดไว้
อ่าน : “จีเอ็มเอ็ม มิวสิค” ในวันที่รายได้มากที่สุดในรอบ 10 ปี และยังคงเป็นรายได้หลักให้กับแกรมมี่
ภาวิตกล่าวว่า GMM GOODS เป็นบริษัทขายตรงที่มี 8 จุดแข็งด้วยกันทั้งเป็นบริษัทในเครือแกรมมี่ มีจุดแข็งทั้งในเรื่องของคอนเทนต์ การทำมาร์เก็ตติ้ง รวมถึงการที่ศิลปินที่มาร่วมสร้างโปรดักส์นั้นไม่ใช่แค่พรีเซนเตอร์ แต่จะเป็นเจ้าของแบรนด์ร่วมกัน
โดยศิลปินเบอร์แรกที่เลือกมาทำแบรนด์ร่วมกันนั้นคือ “ต่าย อรทัย” มาทำแบรนด์ “ออร่า-ทัย” เป็นแบรนด์แรกของบริษัท
ภาวิตอธิบายเหตุผลว่า เพราะต้องการจับกลุ่มคนอีสาน คนต่างจังหวัด และกลุ่มแฟนเพลงลูกทุ่งเป็นหลัก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีกำลังซื้อ และต้องการหารายได้เสริม

โดย ‘ต่าย อรทัย’ มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และแฟนคลับมีระดับความผูกพันที่พร้อมสนับสนุนทุก ๆ เรื่องที่ศิลปินทำในระดับ Advocacy ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุด 1 ใน 5 ของ GMM Grammy
ศิลปินแกรมมี่ทั้งหมดมีกว่า 300 คน ในจำนวนนี้ไม่ได้เอามาทำโปรดักส์ร่วมด้วยทั้งหมด จะมีเพียง 10% ที่จะเอามาพัฒนาเป็น Star Product ร่วมกัน
ส่วนศิลปินที่เลือกมานั้นเราไม่ได้คำนวณแต่จำนวนผู้ติดตามในโชเชียลเท่านั้น แต่เราใช้ Big data ที่มีการวิเคราะห์ถึงโอกาสของความสำเร็จ”
“กลุ่มศิลปินที่มีฐานสนับสนุนในระดับสูง ๆ ของแกรมมี่มีทั้ง เบิร์ด ธงไชย, ตูน บอดี้สแลม, เป๊ก ผลิตโชค, ไผ่ พงศธร, หนุ่ม กะลา ฯลฯ”
สำหรับโปรดักส์ของ ‘ออ-ร่า ทัย’ นี้ ปัจจุบันมีด้วยกัน 3 SKU คือเซรั่ม ครีมกันแดด และมาสก์หน้า ที่อยู่ในราคา 99-550 บาท ซึ่งเป็นราคาที่อยู่ในระดับเฉลี่ยของกลุ่มสกินแคร์
ทั้งนี้ ภาวิตตั้งเป้ารายได้ของ ’ออร่า-ทัย’ ปีแรกอยู่ที่ 100 ล้านบาท และ 300 ล้านบาท ใน 3 ปี ส่วนในปีถัดไปจะมีโปรดักส์ออกมาเพิ่มอีก 3 SKU และจะได้เห็นศิลปินอีก 2 คน มาร่วมทำแบรนด์ใหม่ด้วย

มองว่ากลยุทธ์ที่ GMM GOODS ใช้คือ
แม้ในตลาดขายตรงจะมีแบรนด์ที่วางขายในตลาดอยู่มากมาย และเป็นตลาดเรดโอเชียน แต่ภาวิตเชื่อใน Fan Base Marketing ที่แกรมมี่โฟกัสจากฐานแฟนคลับของตัวศิลปินก่อน ก่อนที่จะต่อยอดและขยายฐานแฟนคลับให้กลายมาเป็นลูกค้า
สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากคู่แข่งคือ ศิลปิน ที่มาร่วมกับแบรนด์นั้นไม่ได้เป็นแค่พรีเซนเตอร์ แต่คือหุ้นส่วนเป็นเจ้าของแบรนด์นั้น ๆ ร่วมกัน
และสิ่งนี้เองทำให้แบรนด์ที่เกิดภายใต้ GMM GOODS มีได้เปรียบกว่าแบรนด์อื่น ๆ ในระดับเดียวกัน เพราะตัวศิลปินเองคือแม็กเน็ต
และการใช้ “อินไซต์” ของคนพื้นที่อย่าง ’ต่าย อรทัย’ ที่เป็นลูกอีสาน และทำผลิตภัณฑ์ออกมาจับกลุ่มชาวอีสานก็ดูจะสร้างอิมแพคกับแบรนด์ได้มากกว่า
หนึ่งในคีย์ซักเซสที่ภาวิตระบุไว้คือ “ช่องทางการขาย” ที่มีหลากหลาย สำหรับ “ออร่า-ทัย” มี 3 ช่องทางการขายหลักด้วยกันคือ Call Center, Line Official และสมัครตัวแทน
ตั้งเป้าหมายสร้างตัวแทนขายปีแรก 9,000 คน ปีที่สอง 15,000 คน และขยายสู่ 25,000 คนในระยะเวลา 3 ปี
แม้ในกลุ่มแกรมมี่จะมีธุรกิจโฮมช้อปปิ้งอย่าง ‘O Shopping’ ในมือ แต่ภาวิตระบุว่าตอนนี้จะยังไม่นำสินค้าใน GMM GOODSขึ้นไปอยู่บนแพลตฟอร์ม และไม่ได้เอาไปวางจำหน่ายตาม Moderntrade เพราะมองว่าฐานแฟนคลับที่มีนั้นก็สร้างรายได้กลับมาได้
ภาวิตย้ำว่า ไม่ได้ทำเพื่อแข่งกับเจ้าอื่นแต่สิ่งที่ทำอยู่คือการ “ตกปลาในบ่อตัวเอง” ที่ในเมื่อวันนี้เรามีทั้งทรัพยากร มีฐานแฟนคลับ มีบิ๊กดาต้า
ทั้งหมดนี้ภาวิตตั้งเป้า “GMM GOODS” สร้างรายได้ให้กับจีเอ็มเอ็ม มิวสิค 10% มียอดขาย 500 ล้านบาท ภายใน 3 ปี

ต่าย อรทัย มีคนตามโซเชียลมากแค่ไหน
5,500,000 Followers ใน Facebook
600,000 Followers ใน Instagram
720,000 คน ใน YouTube
Website : Marketeeronline.co /
