ท่ามกลางภาระมากมายของตระกูล ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม เซ็นทรัล และภรรยา “ศุกตา” ได้ก่อตั้ง บริษัท ศาลา ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด ขึ้นมาเมื่อปี 2549
เป็นโครงการของตนเอง ใช้เงินในกระเป๋าตัวเอง โดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทางเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่มีแบรนด์โรงแรมยักษ์ใหญ่ในมืออยู่แล้ว
และในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 นี้ ก็จะเปิดตัวโครงการล่าสุด ศาลาบางปะอินบูติกรีสอร์ท ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในจังหวัดอยุธยา นับเป็นโรงแรมลำดับที่ 9 ของเครือศาลา ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป และเป็นโรงแรมลำดับที่ 5 ของแบรนด์ “ศาลาบูติก”
เป็นการทำโครงการที่ตนเองรักมาอย่างเงียบ ๆ นานกว่า 15 ปี
หลายคนคงสงสัยว่าทำไม เครือโรงแรมศาลา ของทศไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของ CENTEL หรือ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ของตระกูลจิราธิวัฒน์
ก็ต้องอธิบายว่าภายใต้ตระกูลใหญ่ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 310,000 ล้านบาท มีสมาชิกรวม 232 ชีวิต 5 เจเนอเรชั่นนั้น (ข้อมูล ณ 20 ก.ย. 2562 ) มีอีกหลายคนที่ต้องการทำธุรกิจส่วนตัว โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทกงสี
เมื่อก่อนตระกูล “จิราธิวัฒน์” อาจมีข้อห้ามไม่ให้สมาชิกในตระกูลทำธุรกิจที่แข่งกับครอบครัว และห้ามไม่ให้ทำธุรกิจที่ต้องมาพึ่งพิงบริษัทของครอบครัว
ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา หลังจากธุรกิจในเครือขยายใหญ่ขึ้นมาก กฎเหล็กข้อนี้ก็ได้ถูกผ่อนปรนลง เรื่องสมาชิกจะออกไปทำธุรกิจแข่งจึงไม่ค่อยมีปัญหาอีกต่อไป เพียงแต่อาจจะต้องแจ้งกับคณะกรรมการของครอบครัวเท่านั้น
ดังนั้น นอกจากเครือศาลาของทศ ที่ไม่ได้อยู่ใน Centel สมาชิกของตระกูลอีกหลายคน ก็ปล่อยพลังความสามารถ สร้างธุรกิจของตนเอง เช่น พีช-พชร จิราธิวัฒน์ ทำร้านเฟรนช์ฟรายส์ Potato Corner จอมขวัญ จิราธิวัฒน์ ผู้บริหาร ร้านอาหารในเครือ ZEN กรุ๊ป ที่ตอนนี้มีกว่า 15 แบรนด์ และเป็นบริษัทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ร้านกาแฟ Host x Amber ของ แซนต้า- อธิวัฒน์ จิราธิวัฒน์ ซึ่งทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่ใน CRG พอร์ตธุรกิจอาหารของตระกูล
กลับมายังเรื่องโรงแรมของทศ
ศุกตา ภรรยาของทศเคยให้สัมภาษณ์ว่า คุณทศต้องการทำโรงแรม เพราะชอบในเรื่องการท่องเที่ยว ชอบในเรื่องของการออกแบบและการดีไซน์ที่เก๋ ๆ
ศาลาฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จะทำภายใต้ 2 แบรนด์ ได้แก่ ศาลา รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งแต่ละโครงการจะมีไม่ถึง 100 ห้อง และ ศาลาบูติก มีเพียงประมาณไม่เกิน 20 ห้อง แต่ทุกที่เน้นเรื่องทำเลท่ามกลางวิวธรรมชาติ อาจจะเป็นทะเล แม่น้ำ หรือภูเขา
ดังนั้นโมเดลของ “ศาลา” จะมีความเป็นยูนีค แตกต่างจากโรงแรมของ Centel ของตระกูล ที่มีความเป็น mass มากกว่า
ในขณะที่ศาลามีเพียง 9 โรงแรมในเมืองไทย แต่ Centel มีโรงแรมภายใต้การบริหารทั้งสิ้น 84 โรงแรม ทั้งในประเทศและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
โรงแรมแรกของทศคือ ซิกเซ้นส์ สมุย เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2547 หลังจากนั้นก็มาทำ ศาลา สมุย เชิงมน บีช รีสอร์ท ตามมาด้วย ปี 2550 ทำศาลา ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท ปี 2561 ทำ ศาลา สมุย เฉวง บีช รีสอร์ท
ส่วนที่พักสไตล์บูติกแห่งแรกได้แก่ ศาลาเขาใหญ่ ในปี 2552 ที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะทำบ้านพักส่วนตัว แต่ได้ขยายมาเป็นที่พักซึ่งมีเพียง 7 ห้องเท่านั้น
ตามมาด้วย ศาลาล้านนา เชียงใหม่ เมื่อปี 2556 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ในปีเดียวกันก็เปิดศาลารัตนโกสินทร์ กรุงเทพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมวิววัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
ปีต่อมาเปิด ศาลาอยุธยา ในปี 2557
ว่างเว้นมาหลายปีก่อนที่จะเปิด ศาลาบางปะอิน ในเดือนหน้านี้ บนเกาะส่วนตัวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังบางปะอิน มรดกล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ไทย ที่มีมากว่า 389 ปี ด้วยงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท
โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือนักท่องเที่ยวไทยที่ชื่นชอบและหลงใหลในประวัติศาสตร์ไทย
รายได้ของเครือศาลา ปี 2562 ตามที่แจ้งกระทรวงพาณิชย์ อยู่ที่ 52 ล้านบาท กำไรประมาณ 7 ล้านบาท แน่นอน ยังห่างชั้นกันมากกับกลุ่ม Centel ที่ปีเดียวกันมีรายได้สูงถึง 21,291 ล้านบาท กำไร 1,744 ล้านบาท (ปี 63 centel มีรายได้ 13,249 ล้านบาท ขาดทุน 2,775 ล้านบาท)
รายได้และกำไรอาจจะไม่มากและปี 2563 ที่ผ่านมาอาจจะขาดทุนจากวิกฤตโควิด-19 แต่ทศคงมีความสุขมากกับอีกบทบาทหนึ่งที่เขาได้ลองทำอย่างที่ใจคิดก็ได้
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ