หากคุณอยู่แค่ประเทศไทย การเหยียดเพศที่สามหรือ LGBT (Lesbian Gay Bisexual Transgender) อาจไม่รุนแรงมากนัก แต่ในบางประเทศ รุนแรงถึงขั้นตัดญาติ กีดกันทางสังคม ดูถูก หรือแม้กระทั่งรุมทำร้ายร่างกายในที่สาธารณะ ฉะนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การชุมนุม การเรียกร้องสิทธิเพื่อกลุ่ม LGBT จึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย
ทุกๆเสียงกลายเป็นพลังต่อสู้ความเท่าเทียม มีการร่างกฎหมายในหลายประเทศให้มีกลุ่ม LGBT แต่งงานได้ และมีสิทธิ์เหมือนคู่สมรสทุกอย่าง ซึ่งกฎหมายนี้เองเสมือนเป็นด่านสุดท้ายของความไม่เท่าเทียมนี้
เมื่อมีการรณรงค์มากขึ้น มีผู้คนออกมามากขึ้น พวกคนที่ชอบเหยียดเพศก็น้อยลง จากความเข้าใจ และกลัวโดนสังคมประนามว่าเป็นพวกเหยียดเพศด้วย จนเห็นได้จากแคมเปญ โฆษณาที่เห็นมากขึ้นทุกปี
ลองมาชมแคมเปญจากต่างประเทศกันบ้าง
1.Print Ad จากอาดิดาสนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเท้าของทั้งสองคนนั้นเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นการสนับสนุนความรักทุกรูปแบบ นอกจากนั้นยังแอบส่งข้อความด้วยว่า รองเท้ารุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อผู้หญิง

2.แคมเปญจาก Google ที่เล่าเรื่องของชายชาวฝรั่งเศสสองคนที่รักกัน แต่ด้วยวัฒนธรรม และสังคมที่ป่าเถื่อน ทั้งคู่จึงเปิดเผยตัวเองไม่ได้มาก
แต่หลังจากที่สังคมเริ่มยอมรัยมากขึ้น ทั้งคู่ก็อยากที่จะแต่งงานกันเหมือนคู่อื่นๆ แต่กฎหมายของฝรั่งเศสนั้นยังไม่อนุมัติหารแต่งงานของชาว LGBT
จะเห็นได้ว่าการเรียกร้องสิทธิ์ การออกมาสนับสนุนกลุ่ม LGBT ได้ส่งผลต่อโลกอย่างแท้จริง ตั้งแต่รายการในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ กฎหมาย การยอมรับในสังคม รวมไปถึงแคมเปญต่างๆ พลังเหล่านี้ล้วนร้อยเรียงกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
3.Snapchat from the closet : ในสิงคโปร์ กลุ่ม LGBT ไม่สามารถเปิดเผยตัวได้ ด้วยความกดดันจากครอบครัว และสังคม ซึ่งสิงคโปร์เป็นประเทศที่เคร่งเครียด และจริงจังในทุกเรื่องๆ แต่ Snapchat ต้องการจะเข้าถึงกลุ่มวันรุ่นให้มากขึ้น ด้วยการคิดแคมเปญ Snapchat from the closet ที่จะเปิดโอกาสให้วัยรุ่นได้ปรึกษาและคุยกับ Snapchat หลังจากนั้นข้อความจะหายไปภายใน 3 วินาทีเท่านั้น

4.หรือในสนามฟุตบอล
ปัจจุบันวงการกีฬาก็ออกมาทำแคมเปญสนับสนุนความเท่าเทียมกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ชายหญิง แต่รวมถึง LGBT ด้วย ลองดูแคมเปญนี้เป็นตัวอย่าง ที่ให้กับตันทีมแต่ละฝั่งสวมปลอกแขนสีรุ้ง รวมถึงเชือกรองเท้าทีรุ้ง เพื่อสนับสนุนความรักทุกรูปแบบ

5.ภาพยนตร์
เมื่อสังคมยอมเคลื่อนไหว วงการภาพยนตร์ เป็นอีกภาคส่วนที่สร้างพลัง และการรับรู้อีกด้านในสังคมเข้าใจ

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร ความเท่าเทียมที่แท้จริง คือคนทุกคนมีคุณค่าเท่ากัน
