ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าไว้ว่าต้องเป็นอันดับ 1 ทางด้าน Digital Banking อย่างต่อเนื่อง การพลิกตัวเพื่อรับเกมการแข่งขันใหม่ ๆทางธุรกิจจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยมี กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG เป็นตัวที่ขับเคลื่อนที่สำคัญ เพื่อสร้าง “real place” และ “real people”
ธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย อธิบายถึงยุทธศาสตร์ต่างๆเพื่อตอกย้ำความเป็นองค์กรดิจิทัล รวมถึงการเอาเทคโนโลยี่ใหม่ๆมาใช้ได้จริงกับผู้บริโภคทุกกลุ่มในปี 2560ไว้อย่างน่าสนใจ
สร้าง real place เพื่อให้เกิด real people
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาการเติบโตทางดิจิทัลของกสิกรไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก โดยในปี 2557ธนาคารมีสัดส่วนของการทำธุรกรรมผ่านช่องทางปกติ 60% ช่องทางดิจิทัล 40 % ปีนี้คาดว่าตัวเลขทางด้านดิจิทัล ช่องทางดิจิทัล 65 % ช่องทางอื่นๆจะเหลือประมาณ 35 %
ธีรนันท์ อธิบายว่า เพื่อเป็นการรองรับและเตรียมตัวในเรื่องนี้ในปีที่ผ่านมากสิกรไทย ได้ทำใน 2 เรื่องหลักคือ สร้างบริษัท KBTG เป็นองค์กรแยกหน่วยงานออกมา เพื่อสร้าง real place สำหรับสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ และยังสร้าง real people โดยดึงคนที่มีความสามารถในเรื่องดิจิทัลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากซิลิคอนแวลเลย์ และจากที่อื่นๆรวมกับทีมไอทีเดิม เพื่อร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆโดยปี 2560 นั้นสิ่งที่ธนาคารจะต้องทำต่อไปก็คือ
- Practical เทคโนโลยี่ เป็นการเอาเทคโนโลยี่ใหม่ๆเหล่านั้นมาใช้งานจริงกับลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นบริการที่ธนาคารสร้างเองหรือสร้างร่วมกับพันธมิตรต่างๆ และอาจถูกนำเสนอภายใต้แบรนด์ของพันธมิตรโดยที่ทางกสิกรไทยอยู่ในเบื้องหลังและช่วยทำให้โซลูชั่นนั้นๆเกิดขึ้น
- Real Partnership นอกจากเรื่องการสร้างนวัตกรรมแล้ว กสิกรไทยยังได้เน้นในเรื่องการสร้างพันธมิตร เช่นสตาร์ทอัพ และฟินเทคให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆออกมา
ธีนันท์ย้ำว่า การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างพันธมิตรของกสิกรไทยที่มีจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยี่และพันธมิตรของธนาคารที่มีระบบในการบ่มเพาะ ให้สร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ได้โดยโฟกัส เทคโนโลยี่ 5 ตัว ในการขับเคลื่อน
5 เทคโนยี่พลังขับเคลื่อน Digital Banking ในปี 2560
1.นำเอาบล็อคเชนเทคโนโลยี่มาใช้ในการให้บริการด้านการรับรองความถูกต้องของเอกสารด้วยระบบ OriginCert
“ผมจะอธิบายง่ายๆว่า OriginCert คือการเอาระบบบล็อกเชนเทคโนโลยี่มาสร้างระบบในการซื้อขายถ่ายเทเอกสารสำคัญ ซึ่งปัจจุบันแล้วจะมีความยุ่งยากในการค้นหาว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่ถูกต้องแท้จริงหรือไม่ แต่บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยี่เชิงดาต้าเบท ที่มีความมั่นคงปลอดภัยทางด้านข้อมูลสูงมาก และข้อมูลจะมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันไปหมด
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ดินสามารถเอามาแทนในเรื่องโฉนดที่ดินได้เลย เพระสามารถเช็คความถูกต้องของรายการที่ดิน ทั้งเจ้าของชื่อ เจ้าของที่แท้จริง ที่ตั้งอยู่ตรงไหน ราคาประเมิน เท่าไหร่ มีการเปลี่ยนมือ มีประวัติการซื้อขาย อย่างไร สามารถใช้เทคโนโลยี่นี้ตรวจสอบได้ด้วยความมั่นใจ
หรือการโอนสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเช่น รูปวาด หรือเครื่องเพชร บล็อกเชนจะสามารถบันทึกได้ตั้งแต่เพชรก้อนนั้นถูกขุดที่เหมืองไหน เมื่อไหร่ ถูกส่งไปเจียระไน ที่โรงงงานไหนอย่างไร แล้วออกมาเป็นเพชรกี่เม็ด แต่ละเม็ดมีลักษณะสำคัญอย่างไร ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่สำคัญสร้างความมั่นใจในการซื้อขายอัญมณีในอนาคตด้วย”
โดยจะนำร่องให้บริการด้านการออกเอกสารค้ำประกัน L/G (Letter of Guarantee) ให้แก่ลูกค้าธุรกิจ เพื่อเอาไปยื่นให้กับหน่วยงานต่างๆเช่นหน่วยงานวิสาหกิจ หน่วยงานราชการ นับเป็นบริการที่จะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานของผู้เกี่ยวข้อง และสร้างระบบนิเวศน์ทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านหนังสือค้ำประกัน ทำให้เกิดฐานข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในความถูกต้องของเอกสารและสามารถเข้าถึงเพื่ออ้างอิงได้ง่ายขึ้น
คาดว่าในไตรมาสแรกนี้ จะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ออกมาบริการได้
- World Class UI/UX Design เป็นอีกตัวหนึ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญในกรลงทุนค่อนข้างมาก เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกขึ้น ทีผ่านมาธนาคาร จึงได้สนับสนุน “บีคอน อินเตอร์เฟส” ฟินเทค สตาร์ทอัพของไทย ในการพัฒนาแอพลิเคชั่นเพื่อให้ผู้บกพร่องทางการเห็นสามารถทำธุรกรรมผ่านช่องทางธนาคารบนมือถือได้สำเร็จ ตั้งเป้าหมายให้บริการได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2560
ในปีหน้าจะมีการปรับปรุงโฉมหน้าในการบริการอีกหลายช่องทางดิจิทัลเพื่อให้คนเข้าถึงได้ ทั้งออกบริการใหม่ และปรับปรุงวิธีการใช้งานแบบใหม่เพื่อให้เกิดความสะดวกและคล่องตัวมากที่สุด
- Bank&Fin Tech Open API ตลอดเวลาที่ผ่านมากสิกรไทยให้ความสำคัญในการลงทุนในเรื่องเทคโนโลยี่มหาศาล เพื่อการเก็บข้อมูลและข้อมูลของแบงก์ ในหลายๆอย่างคือความลับ ที่ทางธนาคารจะเก็บเอาไว้ใช้คนเดียว แต่ต่อไปข้อมูลในหลายๆเรื่องจะถูกเปิดเผยเพื่อที่จะให้ สตาร์ทอัพ และฟินเท็คนำไปต่อยอด ไปสร้างบริการของตัวเองได้โดยอาศัยระบบของธนาคารกสิกรไทย โดยที่ไม่ต้องลงทุ ต้นทุนจะต่ำลง ในขณะที่ลูกค้าของธนาคารเองก็จะได้มีทางเลือกที่สะดวกสบายหลากหลายขึ้นเช่นกัน
“ยกตัวอย่างเช่นทุกวันนี้เราอยากได้ลมที่พัดเย็นๆ เราก็เอาพัดลมไปเสียบปลั๊กที่เต้าไฟฟ้า เต้าไฟฟ้าเปรียบได้เหมือนกับ API ของระบบไฟฟ้าที่มีการเชื่อมโยงกัน ทำไมทุกวันนี้ระบบมือถือในแต่ละระบบสามารถโทรหาด้วยกันได้ ก็เพระมีการสร้าง APIให้เชื่อมโยงระบบกัน ที่ผ่านมา Banking industryไม่เคยทำเรื่องนี้ แบงก์ต่อแบงก์ อาจจะเชื่อมโยงแต่เป็นระบบที่ปิด กสิกรไทยกำลังจะผลักดันให้เกิดสิงที่เป็น open API”
- Big data Analytics & Machine Learning เป็นเรื่องของการเก็บข้อมูลและความสามารถในการนำข้อมูลนั้นมาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อเสนอรายการส่งเสริมการขายที่ลูกค้าจะได้รับการเสนอผลิตภัณฑ์ และรายการส่งเสริมการขาย ที่ตรงใจ และตรงกับLife Style หรือสามารถทราบปัญหาของลูกค้าและสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ทันที โดยระบบสามารถวิเคราะห์โอกาสการผิดชำระหนี้ ของผู้ใช้บริการบัตรเครดิตของธนาคารก่อนเกิดขึ้นจริง รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการทุจริต เพราะระบบสามารถจับความผิดปกติในการใช้จ่ายของลูกค้า ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากเพราะรูปแบบการทุจริตนั้นก็ได้มีการพัฒนาไปมาก
5.เพิ่มความแข็งแกร่งของระบบบริหารความปลอดภัย Cyber Security ซึ่งทางธนาคารได้พัฒนาระบบบริหารความปลอดภัยของข้อมูลมาอย่างต่อนื่อง ได้มาตรฐาน iso/iec ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 และได้ร่วมกับสมาคมธนาคารไทยฯและสพธอ. ในการยกระดับความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามในภาคธุรกิจการเงิน เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งในระบบการเงินของประเทศ รวมทั้งมีการเพิ่มมาตรการป้องกันและรักษาข้อมูลของธนาคารไม่ให้รั่วไหล
“ยังมีอีก 2 เรื่องที่เราเตรียมวางแผนไว้ แต่ลูกค้าอาจจะไม่ได้สัมผัสมากนักในปีนี้คือเรื่องของ Inter of things ,และ e –KYC ”
ธีรนันท์ยังย้ำว่า
“ในเรื่องของนวัตกรรมเราไม่ได้ต้องการสร้างนวัตกรรมเพื่อตัวเราเอง แต่ต้องการสร้างนวัตกรรมผ่านพาร์ทเนอร์ ดังนั้นไม่ว่าสตาร์ทอัพ หรือฟินเท็ค ใครมีไอเดียอยากให้มาคุยกับเรา โดยทางธนาคารพร้อมที่จะเอาเทคโนโลยีเอาประสบการณ์ ฐานลูกค้าและข้อมูลของเรา ไปช่วยเสริมทำให้โซลูชั่นของเขา เป็นโซลูชั่นที่สามารถแก้ปัญหาได้จริง สามารถที่จะสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าและสังคมไทยได้จริงในอนาคต โดยไม่ต้องมีต้องมีต้นทุนในการทำธุรกิจที่สูงเกินไป”
นอกจากนั้นทางธนาคาร ยังเป็นตัวเชื่อมโยงกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆอย่างเช่นในเรื่องการทำเรื่องบล็อกเชน ทางธนาคารก็สามารถเอาเทคโลยี่ของไอบีเอ็มเกี่ยวกับบล็อกเชนไปป้อนกับ สตาร์ทอัพหรือฟินเทคได้โดยที่บริษัทพวกนั้นไม่ต้องเข้าไปคุยกับบริษัทไอบีเอ็มด้วยตัวเอง
ตั้ง VC เสริมความแกร่งให้ ฟินเท็ค
ในปี 2560 ธนาคารจะได้รับอนุมัติจากทางแบงก์ชาติ ในการตั้งบริษัท Venture Capital(VC) เพื่อการลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ผ่านบริษัททางด้นสตาร์ทอัพอีก 1,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในบริษัททางด้านสตาร์ทอัพทั้งที่อยู่ในประเทศไทย และในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งจีนในบางส่วน ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมหรือโมเดลธุรกิจใหม่ และการลงทุนผ่านกองทุนเพื่อการระดมทุน (Fund of Fund) ช่วยให้ธนาคารได้เข้าถึงแนวคิดนวัตกรรมระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ได้เพิ่มพูนประสบการณ์ด้านการระดมทุนระหว่างกัน สามารถสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มนักลงทุนและสตาร์ทอัพในทุกระดับ
โดยกลุ่มเป้าหมายธุรกิจที่จะลงทุนใน 5 ด้านคือ 1.ธุรกิจทางด้านการเงิน เช่นเรื่องบล็อคเชน 2.ธุรกิจที่สร้างความผูกพัน และประสบการณ์กับลูกค้า 3.ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ 4.ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี Big Data &Analytics 5.การลงทุนเพื่อการพัฒนาทางด้านไอทีสำหรับองค์กร โครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัย
“ยุทธศาสตร์ทั้งหมด เป็นการเตรียมตัวให้ประเทศไทยพร้อมที่จะรับมือการแข่งขันทางด้านธุรกิจการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก รวมทั้งคู่แข่งระดับโลกที่กำลัง เข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นคนที่จะสร้างนวัตกรรมทางด้านฟินเทคที่เก่งๆ ในประเทศไทยเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่จะทำให้ประเทศไทยนั้นยังคงความสามารถที่จะยังคงมีสถาบันทางการเงินที่ยังแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนอยู่ได้ไปตลอด” กล่าวย้ำ โดยได้ตั้งงบประมาณทางด้านไอทีสำหรับการพัฒนาด้านนวัตกรรมใหม่ประมาณ 10% ของกำไรสุทธิ หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท และการลงทุนในรูปแบบ Venture Capital (VC) เพื่อการพัฒนานวัตกรรมใหม่ อีก 1,000 ล้านบาท
