ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน วิกฤตนี้สะเทือนเศษฐกิจโลกแค่ไหน ? (วิเคราะห์)
· ตลาดอสังหาฯ ของจีนขยายตัวอย่างร้อนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสัดส่วนหนี้สินรวม (total liabilities) ของภาคอสังหาฯ จีน เพิ่มขึ้นจาก 12.5 ล้านล้านหยวน ในปี 2009 เป็น 85.7 ล้านล้านหยวน ในปี 2020 ทำให้ทางการจีนต้องออกมาตรการเพื่อควบคุมการก่อหนี้ และลดความร้อนแรงของราคาอสังหาฯ ผ่านการดำเนินนโยบาย “สามเส้นแดง” หรือ “Three Red Lines” และมาตรการจำกัดการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาฯ
· นโยบายของภาครัฐที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อแก่ภาคอสังหาฯ ในปี 2021 ปรับชะลอลง อีกทั้งยังเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องปรับโครงสร้างหนี้เดิมเพื่อให้เข้าเกณฑ์ของภาครัฐผ่านการเร่งขายที่ดินในราคาต่ำกว่าตลาด หรือหยุดการดำเนินโครงการอสังหาฯ บางโครงการเพื่อรักษาสภาพคล่องของบริษัท ส่งผลให้ยอดขายและรายได้ของบริษัทลดลง กอปรกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ของ COVID-19 กดดันการขยายตัวของยอดขายภาคอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ฐานะทางการเงิน ของบริษัทอสังหาฯ อ่อนแอลง และบริษัทที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตนี้คือ Evergrande
· Evergrande มีหนี้สินรวม (Total liabilities) สูงถึง 2 ล้านล้านหยวน (3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือคิดเป็น 2% ของ GDP ของจีน และมีสัดส่วนหนี้ระยะสั้นในอัตราที่สูงกว่าบริษัทอื่น ๆ ส่งผลให้บริษัทเผชิญภาวะตึงตัวทางการเงินจากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดของภาครัฐ อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหันไปลงทุนในธุรกิจ EV ทำให้สภาพคล่องบริษัทเหลือน้อย
โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Fitch, S&P, Chengxin (CCXI) ได้ปรับลด credit rating ของ Evergrande ลง เป็น CC, CC และ A ตามลำดับ จากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น และเนื่องจาก Evergrande เป็นบริษัทใหญ่และมีความเกี่ยวเนื่องกับหลายธุรกิจ จึงทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อผลกระทบที่อาจลุกลามรุนแรงได้
· ตลาดอสังหาฯ จีนที่มีแนวโน้มหดตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวชะลอลงในระยะสั้น (คาดว่าผลกระทบต่อ GDP ในปี 2022 ราว 1.4 ppt) โดยช่องทางผลกระทบประกอบด้วย 1) กิจกรรมการก่อสร้างที่ลดลงจากความสามารถในการก่อหนี้ และจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ (Housing starts) ที่ลดลง 2) ยอดขายที่ดินที่ลดลง ส่งผลต่อรายได้ การใช้จ่าย และความสามารถในการกู้ยืมของรัฐบาลท้องถิ่น และ 3) wealth effect จากราคาอสังหาฯ ที่ลดลง กระทบต่อระดับการบริโภคของภาคเอกชน
· อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไปคาดว่าสถานการณ์น่าจะสามารถบริหารจัดการได้ และจะไม่ลุกลามจนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน เนื่องจาก 1) มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาฯ ของจีนมีความเข้มงวดอยู่แล้ว 2) การกู้ยืมของ Evergrande ผ่านธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนเพียง 0.22% ของเงินกู้ทั้งระบบธนาคารพาณิชย์จีน 3) สถาบันการเงินจีนแข็งแกร่ง จากกระบวนการลดภาระหนี้สินในระบบ (Deleverage) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
· นอกจากนี้ EIC คาดว่า รัฐบาลจีนมีแนวโน้มเข้ามาช่วยเหลือระบบเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นไม่ให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง แม้ว่าจะไม่ได้เข้าช่วยเหลือบริษัทในภาคอสังหาฯ โดยตรง โดยรัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญกับผู้ซื้อบ้านและระบบสถาบันการเงินมากกว่าภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ซื้อบ้านและหลีกเลี่ยง “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ในตลาดการเงิน
· สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกน่าจะมีจำกัด เนื่องจาก Evergrande มีหนี้คงค้างในตลาด offshore[1] ไม่มากนัก ส่วนผลกระทบต่อตลาดการเงินไทยก็จำกัดเช่นกัน จากการลงทุนใน China HY Property ที่มีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนทั้งหมดของแต่ละกองทุน
· นอกจากนี้ ภาคก่อสร้างจีนที่ได้รับผลกระทบจากกรณี Evergrande อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกไทยบางอุตสาหกรรม ได้แก่ สินค้าประเภทไม้ (wood) ที่พบว่าพึ่งพาภาคก่อสร้างจีนมาก และมีตลาดจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนอุตสาหกรรมแร่อโลหะ (Non-metallic Mineral) ที่พึ่งพาภาคก่อสร้างจีนมาก แต่ไม่ได้มีจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก จะได้รับผลกระทบรองลงมา
· นอกเหนือจากแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ จีนแล้ว มาตรการภาครัฐที่ควบคุมการใช้พลังงานอย่างเข้มงวดก็เพิ่มแรงกดดันต่อการใช้พลังงานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และส่งผลให้บางอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตลง ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยกดดันการเติบโตของจีนในครึ่งปีหลัง โดยการลดระดับการใช้พลังงานเกิดจากสาเหตุหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1) การบังคับใช้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในการควบคุมการใช้พลังงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายควบคุมปริมาณการปล่อยคาร์บอนของประเทศภายในปี 2030
และ 2) ความพยายามที่จะลดการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับการใช้ถ่านหิน ส่งผลให้อุปทานของถ่านหินไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาพลังงานไฟฟ้าสูงขึ้น บริษัทจึงต้องลดการบริโภคพลังงานลง
· สำหรับผลกระทบระยะสั้นของมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปีหน้า โดยคาดว่าอุตสาหกรรมจีนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตสูง เช่น โลหะเหล็ก โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก และแร่อโลหะ
โดยสรุป เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากทั้งการหดตัวลงของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการขาดแคลนพลังงานซึ่งส่งผลต่ออุปทานของสินค้าในบางอุตสาหกรรม จึงทำให้แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลงกว่าที่เคยคาดไว้ ทำให้ EIC ปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2021 เหลือ 8.0% (จากการคาดกาณ์ก่อนหน้านี้ที่ 8.4%) และในปี 2022 ลดลงมาอยู่ที่ราว 5.3-5.5% ในที่นี้หมายถึงตลาดต่างประเทศ หรือ บริษัทที่อยู่นอกจีน
1. ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนและมาตรการควบคุมของรัฐ
ตลาดอสังหาฯ ของจีน เติบโตร้อนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนจากสัดส่วนหนี้สินรวม (total liabilities) ของภาคอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้นจาก 12.5 ล้านล้านหยวน ในปี 2009 เป็น 85.7 ล้านล้านหยวน ในปี 2020 อีกทั้งยอดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือน (Residential mortgage loans) ก็ปรับขึ้นเร็วจาก 10% ต่อ GDP ในช่วงก่อนวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis: GFC) เป็นประมาณ 33% ต่อ GDP ในปี 2020 (รูปที่ 1)
รูปที่ 1: การก่อหนี้ของภาคอสังหาฯ ของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

หมายเหตุ: ข้อมูล Residential Housing Mortgage Loan ปี 2009, 2010 ไม่มีในฐานข้อมูล CEIC จึงใช้ข้อมูลประมาณการ
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ CEIC
มาตรการจำกัดสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Residential mortgages loan) และภาคอสังหาฯ (overall property loans)
เพื่อชะลอความร้อนแรงของภาคอสังหาฯ ทางการจีนจึงได้ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการก่อหนี้และลดความร้อนแรงของราคาอสังหาฯ โดยมาตรการประกอบด้วย
- นโยบาย “สามเส้นแดง” หรือ “Three Red Lines” Policy (รูปที่ 2) ประกาศใช้เมื่อเดือนสิงหาคม 2020 โดยเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างทางการเงินสำหรับบริษัทอสังหาฯ จำนวน 3 เกณฑ์ ได้แก่
- อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม (Total liability-to-total asset ratio) ไม่รวม advance receipts ต้องน้อยกว่า 70%
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Net gearing ratio) ต้องน้อยกว่า 100%
- อัตราส่วนเงินสดต่อหนี้ระยะสั้น (Cash-to-short-term debt ratio) ต้องมากกว่า 1 เท่าของเงินสด
รูปที่ 2: นโยบายสามเส้นแดงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างทางการเงินสำหรับบริษัทอสังหาฯ จำนวน 3 เกณฑ์

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ People’s Bank of China
ต่อการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดของแต่ละธนาคาร (ตารางที่ 1) ประกาศใช้เมื่อเดือนมกราคม 2021 ซึ่งมาตรการนี้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของภาคอสังหาฯ
ตารางที่ 1: รัฐบาลออกข้อจำกัดสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาฯ เพื่อควบคุมการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ People’s Bank of China
นโยบายของภาครัฐที่เข้มงวดขึ้นกดดันเสถียรภาพของภาคอสังหาฯ
โดยมาตรการจำกัดสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาฯ ส่งผลให้ธนาคารส่วนใหญ่ไม่เหลือ หรือเหลือพื้นที่เพียงเล็กน้อยในการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ภาคอสังหาฯ สะท้อนจากการขยายตัวของสินเชื่อภาคอสังหาฯ ที่ปรับชะลอตัวลงหลังจากที่มาตรการถูกบังคับใช้ (รูปที่ 3 ซ้าย) กอปรกับบริษัทยังต้องดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เดิมเพื่อให้เข้าเกณฑ์ Three Red Lines ของภาครัฐ เช่น ยุติการดำเนินโครงการบางโครงการ หรือการเร่งขายที่ดินออกมาในราคาต่ำกว่าราคาของตลาดเพื่อรักษาสภาพคล่อง เป็นต้น
อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 ยังส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเป็นอีกปัจจัยกดดันยอดขายและรายได้ของภาคอสังหาฯ ให้ปรับลดลง (รูปที่ 3 ขวา) ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้ฐานะทางการเงินของบางบริษัทอสังหาฯ อยู่ในภาวะอ่อนแอลงและมีเสถียรภาพทางการเงินที่เปราะบาง โดยบริษัท
ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในวิกฤตนี้คือ Evergrande ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สูง
รูปที่ 3: การขยายตัวของสินเชื่อภาคอสังหาฯ และยอดขายของภาคอสังหาฯ ปรับชะลอลงหลังมาตรการควบคุมบังคับใช้

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ CEIC
2. Evergrande กับวิกฤตหนี้ครั้งใหญ่ และแนวทางการเข้าช่วยเหลือของรัฐบาล
Evergrande เป็นบริษัทใหญ่ และมีความเกี่ยวเนื่องกับหลายธุรกิจ โดย Evergrande เป็นบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน มีหนี้สินรวม (Total liabilites) สูงถึง 2 ล้านล้านหยวน (3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือคิดเป็น 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจีน และมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 4% ของยอดขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของจีน
โดย Evergrande มีบริษัทลูก (นับรวมทั้งการลงทุนโดยบริษัทแม่ทั้งหมด (Wholly Owned) และการลงทุนโดยบริษัทแม่บางส่วน (non-Wholly Owned)) จำนวนมากถึง 2,000 บริษัทที่อยู่ในจีน (onshore) และอีกกว่า 200 บริษัทที่อยู่นอกจีน (offshore) อีกทั้ง มีพนักงานรวมกันทั้งสิ้นกว่า 4 ล้านคน แบ่งเป็นลูกจ้างประจำ 123,000 คนและลูกจ้างสัญญา (contractors) ประมาณ 3.8 ล้านคน
มาตรการภาครัฐที่เข้มงวด ประกอบกับปริมาณหนี้สินของ Evergrande ที่สูงและส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น ทำให้บริษัทเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องรุนแรง โดย Evergrande มียอดหนี้คงค้าง (Outstanding Debts)ในครึ่งแรกของปี 2021 ประมาณ 5.74 แสนล้านหยวน โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการกู้ยืมเงินระยะสั้นสูงถึง 42% (รูปที่ 4) เนื่องด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำกว่าการกู้ยืมระยะยาว
กอปรกับการที่บริษัทต้องเร่งการดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงินอื่น ๆ ให้เข้าเกณฑ์ Three Red Lines เช่น การหยุดดำเนินโครงการและการเร่งขายที่ดินออกมาในราคาต่ำกว่า 70% ของราคาตลาด เพื่อรักษาสภาพคล่อง (เงินสด) เป็นต้น ส่งผลต่อยอดขายและรายได้ของบริษัทให้ปรับตัวลดลง
อีกทั้ง Evergrande ได้มีการลงทุนในธุรกิจอื่นเพิ่มเติม เช่น ธุรกิจ EV ทำให้ใช้เงินทุนมหาศาล ก็เป็นอีกปัจจัยกดดันสภาพคล่องของบริษัทให้เหลือน้อย ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้สภาพคล่องของบริษัทตึงตัว ส่งผลต่อเสถียรภาพของบริษัท นอกจากนี้ การที่ Evergrande มีความเกี่ยวเนื่องกับหลายธุรกิจ จึงทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อผลกระทบที่อาจลุกลามรุนแรง
รูปที่ 4: การพึ่งพาการกู้ยืมเงินระยะสั้นของ Evergrande ในปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 42%

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ CEIC
ความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ของ Evergrande ที่สูงขึ้น ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ Evergrande ลง โดย Fitch rating, S&P และ Chengxin International (CCXI) ปรับลด rating ลงเป็น CC, CC และ A ตามลำดับ ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะการกู้ยืมระยะสั้น ให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นของ Evergrande ลดลงกว่า 80% นับจากต้นปี 2021 (รูปที่ 5) และเมื่อวันที่ 23 และ 29 กันยายนที่ผ่านมา บริษัทมีกำหนดการจ่ายดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้จำนวน 83.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 47.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ และแม้ว่าบริษัทได้ออกมายืนยันถึงความสามารถในการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีการชำระหนี้ทั้งสองงวดข้างต้น แต่ในทางเทคนิคแล้วยังไม่ถือว่าผิดนัด เนื่องจากยังมีช่วงเวลาผ่อนผันการชำระเงิน 30 วันหลังจากครบกำหนด (grace period)
นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2021 ตลาดหุ้นฮ่องกงสั่งหยุดการซื้อขายหุ้น Evergrande โดยไม่ได้ระบุเหตุของคำสั่งห้ามซื้อขายดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในวันเดียวกันบริษัทได้ออกมาประกาศถึงแผนในการขายหุ้นมูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้
รูปที่ 5: มูลค่าหุ้น Evergrande ตกลงกว่า 80% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อต้นปี 2021

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Yahoo Finance
EIC คาดว่า รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือระบบเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นไม่ให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง มากกว่าการเข้าช่วยเหลือบริษัทในภาคอสังหาฯ เป็นราย ๆ ไป โดยรัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญกับผู้ซื้อบ้านและระบบสถาบันการเงินมากกว่าภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรม และผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น เพื่อช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ซื้อบ้านและหลีกเลี่ยง “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ในตลาดการเงิน สะท้อนได้จากการที่ธนาคารกลางจีนได้ประกาศอัดฉีดสภาพคล่องระยะสั้นผ่าน reverse repurchasing agreement จำนวน 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.1 แสนล้านหยวน) เข้าสู่ระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับกำหนดการชำระหนี้ 2 งวด ของ Evergrande เพื่อบรรเทาความกังวลของตลาด
ในระยะสั้นนี้ รัฐบาลจีนอาจดำเนินนโยบายเพื่อบรรเทาความตึงเครียดต่อภาคอสังหาฯ เช่น การอัดฉีดสภาพคล่องโดยตรงกับธนาคารขนาดเล็กที่พึ่งพาตลาดระหว่างธนาคาร (interbank market) มาก การจัดให้มีกองทุนฉุกเฉิน (emergency funding) สำหรับธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบต่อความตึงเครียดและไม่สามารถกู้เงินได้เนื่องจากการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดขึ้นของธนาคาร ดังเช่นที่เคยดำเนินการในกรณีของการปล่อยให้ธนาคาร Baoshang ล้มละลายจากมาตรการ credit clean up เมื่อปี 2019 เป็นต้น รวมถึงการให้บุคคลที่สาม (Third party) เข้ามามีส่วนร่วมในการปรับโครงสร้างบริษัท Evergrande (เช่น การเพิ่มทุนของ Third party เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เป็นต้น) ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในกรณีการแก้ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐวิสาหกิจจีนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับในระยะยาว หากสถานการณ์ยังคงรุนแรงและมีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้างมากขึ้น รัฐบาลจีนอาจผ่อนคลายมาตรการทางการเงินของภาคอสังหาฯ ลงได้ โดยนโยบายสามเส้นแดงที่เข้มงวดในปัจจุบันมีกำหนดระยะเวลาบังคับใช้เพียง 3 ปี ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีแล้ว และหากสถานการณ์มีความตึงเครียดและมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจมากขึ้น รัฐบาลอาจดำเนินนโยบายที่เข้มงวดน้อยลงก่อนที่นโยบายสามเส้นแดงในปัจจุบันจะหมดอายุลง ซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างได้
ทั้งนี้ EIC ประเมินว่าโอกาสที่รัฐบาลจีนจะผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวในระยะข้างหน้ายังมีจำกัด เนื่องจากความเสี่ยงที่วิกฤตจะลุกลามยังมีน้อย ประกอบกับภาครัฐยังไม่มีท่าทีที่จะปรับการดำเนินนโยบายในขณะนี้
นอกจากนี้ การสื่อสารที่ชัดเจนของรัฐบาลจีนในการควบคุมสถานการณ์จะมีความสำคัญมาก เนื่องจากความไม่แน่นอนจะส่งผลต่อ (1) ความเชื่อมั่นในการซื้ออสังหาฯ ของภาคครัวเรือน และยอดขายล่วงหน้าของอสังหาฯ (2) ทิศทางของตลาดและราคาอสังหาฯ อาจอยู่ในภาวะถดถอยต่อเนื่องได้ เนื่องจากมุมมองและความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาฯ มักใช้เวลานานในการปรับเปลี่ยน และ (3) เศรษฐกิจที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อยู่แล้ว จะได้รับแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยิ่งล่าช้า
3. ผลกระทบของการชะลอตัวของภาคอสังหาฯ ต่อเศรษฐกิจผ่านช่องทางต่าง ๆ
การดำเนินมาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐ กดดันการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ จีน ส่งผลให้กิจกรรมการก่อสร้างทั่วประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว อุปสงค์ที่ดินหดตัว ราคาอสังหาฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระทบต่อความมั่งคั่ง (Wealth effect) และกำลังการบริโภคของภาคเอกชน รวมถึงรายได้และงบประมาณใช้จ่ายของรัฐบาลท้องถิ่น ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนให้ชะลอตัวลงในระยะสั้น เนื่องจากภาคอสังหาฯ ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมใหญ่ของจีน มีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 29% ต่อ GDP โดยการหดตัวของภาคอสังหาฯ จะกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
- ตลาดอสังหาฯ จีนที่มีแนวโน้มหดตัว จะส่งผลต่อกิจกรรมการก่อสร้างที่ลดลง เนื่องจากมาตรการเข้มงวด จำกัดการก่อหนี้ใหม่ ส่งผลกระทบต่อจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ (Housing Starts) และยอดขายให้ปรับตัวลดลง รวมถึงการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอลงตามยอดขาย
- รายได้จากการขายที่ดินลดลง กระทบการใช้จ่ายทางการคลังของรัฐบาลท้องถิ่น เนื่องจากที่ดินถือเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญและหลักประกันในการกู้ยืมเงินให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยรายได้ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ คิดเป็นประมาณ 40%-50% ของรายได้ทั้งหมดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ มูลค่าที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นได้สนับสนุนการกู้ยืมเงินนอกงบประมาณที่ค้ำประกันโดยที่ดินให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น รายได้จากการขายที่ดินและมูลค่าที่ดินที่ลดลงนั้นจึงมีผลให้การใช้จ่ายทางการคลังในท้องถิ่น
มีแนวโน้มปรับตัวลดลงด้วย - ผลกระทบจากความมั่งคั่ง (Wealth Effect) ของราคาอสังหาฯ ที่ลดลง ส่งผลให้การบริโภคของภาคเอกชนปรับตัวลดลงเช่นกัน
โดยงานศึกษาของสำนักวิจัยต่างประเทศ[1] ประเมินว่า หากยอดการขายที่ดินและยอดที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ในปีหน้าปรับลดลง 15% และยอดขายอสังหาฯ และราคาบ้านปรับตัวลดลง 5% จะส่งผลให้เศรษฐกิจจีน (GDP growth) มีแนวโน้มปรับตัวลดลงราว 1.4 ppt และในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด ที่ยอดการขายที่ดินและยอดที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ ปรับลดลง 30% และยอดขายอสังหาฯ และราคาบ้านปรับลดลง 10% จะส่งผลให้ GDP Growth ของจีนปี 2022 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงราว 4.1 ppt
นอกจากนี้ การชะลอตัวของภาคอสังหาฯ จีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่างประเทศด้วยเช่นกัน ผ่านช่องทาง 1) ภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่คาดว่าจะชะลอตัวลง 2) อุปสงค์ต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลดลงจากทั้งปริมาณ (volume) จากจีน และราคาที่ปรับตัวลง และ 3) อุปสงค์จากภาคการบริการของจีนที่จะลดลง เช่น การเดินทางและการท่องเที่ยวจากจีน การขนส่งสินค้า และการบริการทางการเงิน เป็นต้น โดยประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงจากจีนมากที่สุด ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เนื่องจากมีสัดส่วนการพึ่งพาอุปสงค์การบริโภคและการลงทุนจากจีนต่อ GDP ที่อยู่ในระดับสูง ประมาณ 6%-12% สำหรับประเทศไทย คาดว่าจะได้รับผลกระทบเช่นกันเนื่องจากมีสัดส่วนการพึ่งพาอุปสงค์การบริโภคและการลงทุนจากจีนประมาณ 5% ของ GDP
4. ผลกระทบของ Evergrande ต่อตลาดการเงิน และความเสี่ยงในการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินระดับโลก
แม้ว่าความเสี่ยงของโอกาสการผิดชำระหนี้ของ Evergrande จะมีอยู่สูงและสร้างความกังวลต่อผลกระทบที่จะลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของจีน รวมถึงเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก อย่างไรก็ดี EIC คาดว่าความเสี่ยงข้างต้นจะมีอยู่อย่างจำกัด จากปัจจัยดังต่อไปนี้
- มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาฯ ของจีน มีความเข้มงวดอยู่แล้ว โดยผู้ซื้อบ้านชาวจีนจำเป็นต้องชำระเงินดาวน์อย่างน้อย 30% สำหรับการซื้อบ้านหลังแรก และสูงกว่า 30% สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สอง นอกจากนี้ การจดจำนองอสังหาฯ ของจีน ยังมีความแตกต่างจากวิกฤตซับไพรม์ของสหรัฐฯ อย่างมาก เนื่องจากในกรณีที่ผู้กู้ของจีนผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารสามารถดำเนินการเข้ายึดสินทรัพย์อื่น ๆ ของผู้กู้ นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้จดจำนองเพื่อกู้เงินได้ โดยความแตกต่างนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดวงจรราคาบ้านตกต่ำต่อเนื่องจากการเทขายอสังหาฯ ที่ถูกยึดมาจากการผิดชำระหนี้
- ความเสี่ยงเชิงระบบต่อตลาดการเงินจีนจากการผิดชำระหนี้ของ Evergrande นั้นมีไม่มากนัก เนื่องจากการกู้ยืมของ Evergrande ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์คิดเป็นเพียง 22% ของเงินกู้ทั้งระบบของธนาคารพาณิชย์จีน หรือประมาณ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่เป็นการกู้ยืมโดย Evergrande ซึ่งจำนวนดังกล่าวมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับเงินกู้ทั้งหมดของระบบธนาคารพาณิชย์จีนที่ประมาณ 27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ระบบธนาคารของจีนอยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าช่วง 2-3 ปีก่อน จากกระบวนการของการลดภาระหนี้สินในระบบ (Deleverage) โดยที่ผ่านมาธุรกิจธนาคารเงา (Shadow banking) และการลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง (wealth management products: WMP) ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยจากการประเมินของธนาคาร Goldman Sachs พบว่า ในปัจจุบันยอดการลงทุนของ WMP ในระบบลดลง 11% นับตั้งแต่ปี 2016 และสัดส่วนการลงทุนในอสังหาฯ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% ของยอดคงเหลือ WMP ในปัจจุบัน
- Evergrande มียอดขายอสังหาริมทรัพย์คิดเป็นเพียง 4% ของยอดขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของจีนและจำนวนพนักงาน 123,000 คน และผู้รับเหมา 8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับกำลังแรงงานกว่า 400 ล้านคนของจีน ทำให้ในกรณีที่มีการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande คาดว่าผลกระทบต่อตลาดการเงิน
ภาคอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจมหภาคของจีนจะมีอยู่อย่างจำกัด
ตลาดการเงินจีนแสดงความกังวลต่อการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande โดยดัชนีตลาดหุ้นจีนปรับลดลง credit spread ของภาคอสังหาฯ ปรับสูงขึ้น ทั้งนี้ความกังวลยังไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพตลาดการเงินจีนโดยรวมนัก
โดยดัชนีราคาตลาดหุ้นจีน (MSCI China USD Index) ปรับลดลงเมื่อเทียบกับดัชนีราคาตลาดหุ้นสหรัฐฯ (MSCI USA Index) (รูปที่ 6) และ corporate spreads ของหุ้นกู้ภาคอสังหาฯ (China Property USD HY) ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 bps นับจากช่วงต้นปี อย่างไรก็ดี corporate spreads ของภาคส่วนอื่น ๆ ยังไม่ปรับสูงขึ้นนัก และค่าเงินหยวนยังทรงตัวอยู่ในกรอบ 6.4 – 6.5 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงสะท้อนได้ว่าความกังวลต่อการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ยังไม่ส่งผลต่อภาวะการเงินและเสถียรภาพการเงินจีนเป็นวงกว้าง
ภาวะการเงินอาจตึงตัวเร็วได้ หาก Evergrande มีการผิดชำระหนี้จริง (ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระได้ภายใน 30 วัน) และรัฐบาลไม่มีการสื่อสารถึงการแก้ปัญหาและแนวทางการรักษาเสถียรภาพของสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบ เช่น การประกาศสนับสนุนวงเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลให้เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลง corporate spread ของภาคส่วนอื่น ๆ ปรับสูงขึ้นและเพิ่มโอกาสที่เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจไหลออกจากจีนและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM-Asia) ไปสู่ภูมิภาคอื่นได้ (รูปที่ 7)
ทั้งนี้ หากเงินหยวนอ่อนค่าลงเร็ว ก็อาจส่งผลให้สกุลเงินของประเทศในภูมิภาคอ่อนค่าลงตามไปด้วย โดยเฉพาะประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนมาก โดยความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของเงินหยวนและสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EMs) ในปัจจุบันปรับสูงขึ้นกว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
รูปที่ 6: ดัชนีราคาหุ้นของจีนอยู่ในภาวะตกต่ำเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ค่าเงินหยวนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังอยู่ในภาวะทรงตัว

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ MSCI, Yahoo Finance
รูปที่ 7: สกุลเงินของประเทศ EMs โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามเงินหยวน

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ The Institute of International Finance (IIF)
ผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติคาดว่าจะมีอยู่อย่างจำกัด โดยจะจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติที่ลงทุนใน China HY property เนื่องจากหนี้ของ Evergrande ส่วนใหญ่อยู่ในรูปสกุลเงินท้องถิ่น (local currency)และเจ้าหนี้เป็นผู้ถือตราสารในประเทศ สำหรับหนี้ต่างประเทศ Evergrande มียอดคงค้างราว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับภาระหนี้สินรวม (Total Liabilities) ที่ราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจากรายงานของ Bloomberg พบว่า ต่างชาติผู้ถือตารสารหนี้ Evergrande รายใหญ่ในปัจจุบันคือ Ashmore, Blackrock, UBS และ HSBC (รูปที่ 8)
รูปที่ 8: ต่างชาติผู้ถือตราสารหนี้ Evergrande รายใหญ่ในปัจจุบันคือ Ashmore, Blackrock, UBS และ HSBC

ที่มา: Bloomberg
5. ผลกระทบของตลาดอสังหาฯ จีน ต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจไทย
EIC คาดว่าผลกระทบต่อตลาดการเงินไทยมีอย่างจำกัด เนื่องจากการลงทุนของไทยในภาคอสังหาฯ จีน โดยเฉพาะใน Evergrande มีน้อย (ตารางที่ 2) และพอร์ตของบริษัทจัดการหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีการลงทุนที่หลากหลาย ประกอบกับชื่อเสียงของ Evergrande ในด้านปัญหาสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือ ทำให้ที่ผ่านมา Evergrande ไม่อยู่ในเกณฑ์การคัดเลือกของกองทุนไทยส่วนใหญ่เพื่อเข้าลงทุนได้
ตารางที่ 2: จำนวนกองทุนมีการลงทุนในบริษัท Evergrande มีจำนวนน้อย และแต่ละกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในบริษัท Evergrande ที่น้อยมาก

ที่มา: รวบรวมโดย EIC จากข้อมูลของบริษัทจัดการหลักทรัพย์ต่าง ๆ
ภาคก่อสร้างจีนที่ได้รับผลกระทบจากกรณี Evergrande อาจส่งผลลบต่อสินค้าส่งออกไทยบางประเภท (รูปที่ 9) EIC ได้ศึกษาผลกระทบต่อการส่งออกไทยในแต่ละภาคอุตสาหกรรม โดยพิจารณาถึง 1) ระดับการพึ่งพาจีน ซึ่งพิจารณาจากสัดส่วนการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ไปจีนต่อการส่งออกไทยทั้งหมด (แกน Y ของรูปที่ 9) และ 2) ระดับการพึ่งพาภาคก่อสร้างจีนของสินค้าส่งออกไทย ซึ่งพิจารณาจากสัดส่วนมูลค่าส่งออกสินค้าชนิดนั้น ๆ ที่ถูกใช้ในภาคก่อสร้างจีนต่อมูลค่าส่งออกสินค้าชนิดนั้นไปจีนทั้งหมด (แกน X ของรูปที่ 9)
ผลการประเมินพบว่า สินค้าที่มีการพึ่งพาภาคก่อสร้างจีนมาก และมีตลาดจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก คือ สินค้าประเภทไม้ (wood) โดยสัดส่วนการส่งออกไปจีนอยู่ที่ 50% ของสัดส่วนการส่งออกสินค้าประเภทไม้ของไทยทั้งหมด ขณะที่สินค้าที่ไม่ได้มีจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก แต่ปริมาณที่ถูกส่งออกไปยังจีนจะถูกใช้ในภาคก่อสร้างค่อนข้างมาก คือ แร่อโลหะ (Non-metallic Mineral) เหล็กแปรรูป (fabricated metal) เครื่องใช้ไฟฟ้า (electricals) และยางและพลาสติก (rubber & plastic) ที่พึ่งพาภาคก่อสร้างจีนมากถึง 65%, 30%, 25%, และ 20% ตามลำดับ
รูปที่ 9: สินค้าส่งออกไทยบางประเภทจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวลงของภาคก่อสร้างจีน เนื่องจากพึ่งพาภาคก่อสร้างจีนมาก เช่น สินค้าประเภทไม้, แร่อโลหะ, เหล็กแปรรูป, เครื่องใช้ไฟฟ้า และยางและพลาสติก

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ OECD IO-Table (ICIO) และกระทรวงพาณิชย์
ราคาบ้านในจีนที่ปรับตัวลดลง อาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อความต้องการซื้อบ้านในไทย ผ่านทางช่องทาง wealth effect และ sentiment การลงทุน เนื่องจากปัจจุบันราว 60% ของอุปสงค์ในคอนโดจากต่างชาติมาจากชาวจีน (รูปที่ 10) โดยผลกระทบที่ต้องจับตาในกรณีที่ราคาบ้านในจีนปรับตัวลดลงและมีบ้านรอการขายมากขึ้นคือ ความมั่งคั่งของชาวจีนที่ลดลง (wealth effect) ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนอสังหาฯ ในไทยให้ชะลอลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการที่นักลงทุนจีนอาจหันไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศตนเองมากขึ้น แทนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในไทย อย่างไรก็ตาม ราคาบ้านในจีนที่ปรับลดลง อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจีนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มที่ต้องการกระจายการลงทุนจากจีนมาไทยอยู่แล้ว และกลุ่มที่ต้องการพำนักระยะยาวในไทย เป็นต้น
รูปที่ 10: ปัจจุบันราว 60% ของอุปสงค์ในคอนโดจากต่างชาติมาจากชาวจีน โดยความมั่งคั่งของชาวจีนที่อาจลดลงจากราคาบ้านในจีนที่ปรับตัวลดลง อาจส่งผลต่อการลงทุนอสังหาฯ ในไทยที่อาจจะชะลอลงตามไปด้วย

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ REIC และมติ ครม. วันที่ 14 กันยายน 2021
ผลกระทบจากตลาดอสังหาฯ จีนต่อเศรษฐกิจไทยอีกหนึ่งช่องทางคือ ราคาเหล็กในไทยที่ได้รับอิทธิพลจากราคาเหล็กจีนค่อนข้างมาก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การบริโภคเหล็กของไทยพึ่งพิงการนำเข้าถึงราว 65% ซึ่งเป็นการนำเข้าจากญี่ปุ่นและจีนเป็นหลัก (รูปที่ 11) ดังนั้น หากการหดตัวลงของภาคอสังหาฯ ในจีนส่งผลต่อแนวโน้มการก่อสร้างและอุปสงค์ต่อสินค้าวัตถุดิบซึ่งรวมถึงเหล็ก ก็อาจทำให้ราคาเหล็กจีนปรับลดลง ซึ่งจะกระทบราคาเหล็กในไทยได้ โดย EIC พบว่า ราคาเหล็กของไทยมีความสัมพันธ์ (Correlation[2]) กับราคาเหล็กจีนถึงราว 85%
รูปที่ 11: ราคาเหล็กจีนมีอิทธิพลกับราคาเหล็กไทยอย่างมาก โดยมี correlation สูงถึง 85%

หมายเหตุ: 1Correlation ราคาเหล็กรายเดือน โดยราคาเหล็กไทยปรับตัวตามหลังราคาเหล็กจีนราว 1 เดือน (laggard)
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ Bloomberg
ปัญหาการขาดแคลนพลังงานในจีน และนัยต่อภาคเศรษฐกิจ
นอกเหนือจากแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ จีนแล้ว มาตรการภาครัฐที่ควบคุมการใช้พลังงานอย่างเข้มงวด ก็เพิ่มแรงกดดันต่อการใช้พลังงานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และส่งผลให้บางอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้พลังงานสูง (high-energy-intensity industries) ซึ่งการลดระดับการใช้พลังงานในการผลิตในช่วงที่ผ่าน มีสาเหตุหลัก 2 ประการดังนี้
1. การบังคับใช้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในการควบคุมการใช้พลังงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายควบคุมปริมาณการปล่อยคาร์บอนของประเทศภายในปี 2030 ส่งผลให้มีการจำกัดการใช้พลังงานและไฟฟ้าสำหรับโรงงานและบริษัทต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ของจีน ซึ่งกระทบต่อภาคการผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้พลังงานสูง (high-energy-intensity industries) โดยคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commissiom: NDRC) ได้มีการกำหนดแผนในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนระยะยาวของประเทศบนหลักการ Dual Cotrol Policy กล่าวคือ ต้องการบรรลุเป้าหมายการลดระดับ “ปริมาณ” การใช้พลังงาน (the energy consumption target) พร้อมกับการบรรลุเป้าหมายลด “ระดับความเข้มข้น” ของการใช้พลังงาน[3] (the energy intensity target) โดยเป้าหมายระยะสั้นสำหรับปี 2021 ของ NDRC คือ การลดระดับความเข้มข้นของการใช้พลังงานต่อ GDP (energy intensity of GDP) ทั่วประเทศลง 3% ในปีนี้
2. ราคาพลังงานถ่านหินที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนไฟฟ้า จึงกดดันให้ต้องลดการบริโภคพลังงานลง โดยความพยายามที่จะลดการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับการใช้ถ่านหิน และปริมาณการนำเข้าถ่านหินที่ลดลง ส่งผลให้อุปทานของถ่านหินไม่เพียงพอ ขณะที่อุปสงค์ปรับเพิ่มขึ้นจากการที่เศรษฐกิจจีนกลับมาเติบโตได้ดีและมีความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้นหลังเกิดการระบาดของ COVID-19
นอกจากนี้ อุปสงค์ต่อสินค้าจีนจากต่างประเทศก็สูงขึ้นตามมาตรการเปิดเมือง ด้วยเหตุนี้ ราคาถ่านหินจึงปรับสูงขึ้นเร็ว ส่งผลให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าลดลงเนื่องจากภาครัฐมีการควบคุมราคาไฟฟ้าทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถปรับราคาขึ้นตามต้นทุนได้ จึงทำให้ต้องลดการบริโภคพลังงานไฟฟ้าลง ทั้งนี้แนวทางการลดการบริโภคพลังงานไฟฟ้าจะเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลท้องถิ่นแต่ละแห่ง ซี่งมีหลายรูปแบบ ได้แก่ 1) ลดกำลังการผลิตของบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่มีปริมาณการใช้พลังงานในการผลิตสูงลง 2) หลีกเลี่ยงการใช้พลังงานในการผลิตในชั่วโมงเร่งด่วน และปรับเวลาในการผลิตไปเป็นช่วงสุดสัปดาห์หรือกลางคืน และ 3) ระงับการผลิตในบางกรณีที่มีเหตุจำเป็น
การคับใช้มาตรการควบคุมการใช้พลังงานที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้เกิดการลดกำลังการผลิตลงในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการใช้พลังงานสูง NDRC รายงานในเดือนสิงหาคมถึงรายชื่อมณฑลที่ไม่บรรลุเป้าหมายตามข้อกำหนดระยะสั้นในช่วงครึ่งแรกของปี และในเดือนกันยายนก็ได้กำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดขึ้น สำหรับมณฑลที่ไม่สามารถดำเนินการตามเป้าหมายได้ เพื่อกดดันให้รัฐบาลท้องถิ่นควบคุมการใช้พลังงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้มีการลดกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้พลังงานสูงในวงกว้างในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีมณฑลที่ไม่บรรลุเป้าหมายตามเกณฑ์สีแดง[4] จำนวน 9 มณฑล และเกณฑ์สีเหลือง[5] จำนวน 10 มณฑล
จากการศึกษาล่าสุดของบริษัทการลงทุน China International Capital Corporation (CICC) พบว่า มณฑลที่ไม่ผ่านทั้งสองเกณฑ์ข้างต้นมีกำลังการผลิตรวมกันคิดเป็น 70% ของมูลค่าเพิ่มในเศรษฐกิจของจีน โดยสาเหตุหลักที่มณฑลข้างต้นไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในครึ่งปีแรกได้ คาดว่าเป็นผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจพึ่งพาการใช้พลังงานมากขึ้น ประกอบกับการส่งออกที่ขยายตัวเร็วในช่วงต้นปีจากความต้องการสินค้าจีนที่เพิ่มมากขึ้นตามการเปิดเมืองของประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง อีกทั้ง ยังรวมถึงความต้องการภายในประเทศจีนเอง จึงทำให้กระตุ้นอุตสาหกรรมการผลิตให้ใช้พลังงานในการผลิตมากขึ้น
ตารางที่ 3: รายชื่อ 19 มณฑล (จากทั้งหมด 30 มณฑล) ที่ไม่บรรลุเป้าหมายตามข้อกำหนดระยะสั้นของ NDRC ในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งมีกำลังการผลิตคิดเป็น 70% ของมูลค่าเพิ่มในเศรษฐกิจของจีน
| มณฑล | เป้าหมายลดระดับความเข้มข้นของพลังงาน (warning grade) | เป้าหมายลดระดับปริมาณการใช้พลังงาน (warning grade) |
| Qinghan | Red (Level 1) | Red (Level 1) |
| Ningxia | Red (Level 1) | Red (Level 1) |
| Guangxi | Red (Level 1) | Red (Level 1) |
| Guangdong | Red (Level 1) | Red (Level 1) |
| Fujian | Red (Level 1) | Red (Level 1) |
| Xinjiang | Red (Level 1) | Yellow (Level 2) |
| Yunnan | Red (Level 1) | Red (Level 1) |
| Shaanxi | Red (Level 1) | Yellow (Level 2) |
| Jiangsu | Red (Level 1) | Red (Level 1) |
| Zhejiang | Yellow (Level 2) | Yellow (Level 2) |
| Henan | Yellow (Level 2) | Green (Level 3) |
| Gansu | Yellow (Level 2) | Green (Level 3) |
| Sichuan | Yellow (Level 2) | Yellow (Level 2) |
| Anhui | Yellow (Level 2) | Yellow (Level 2) |
| Guizhou | Yellow (Level 2) | Green (Level 3) |
| Shanxi | Yellow (Level 2) | Green (Level 3) |
| Heilongjiang | Yellow (Level 2) | Green (Level 3) |
| Liaoning | Yellow (Level 2) | Green (Level 3) |
| Jiangxi | Yellow (Level 2) | Green (Level 3) |
ที่มา : ข้อมูลจาก National Development and Reform Commission
รูปที่ 12 : ราคาสินค้ากลุ่มพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีผ่านมา

ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ CEIC
จากงานศึกษาของสำนักวิจัยต่างประเทศ[6] ได้ประเมินผลกระทบระยะสั้นของมาตรการด้านพลังงานที่เข้มงวด คาดว่า จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปีหน้า โดยอาจทำให้เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้เดิมราว 0.25% และ 0.5% ตามลำดับ
สำหรับในปี 2022 คาดว่าผลกระทบจะอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปี และจะทยอยปรับดีขึ้นหลังจากที่ผู้ผลิตปรับตัวกับมาตรการได้ดีขึ้นและอุปสงค์ (pent-up demand) จากการเปิดเมืองคลี่คลายลง สำหรับอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มที่พึ่งพาการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตสูง เช่น โลหะเหล็ก โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก แร่อโลหะ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาด้านการผลิตจากความขาดแคลนในห่วงโซ่อุปทานอยู่แล้ว ได้แก่ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี อุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดด้านการใช้พลังงานของรัฐบาลอย่างจำกัด อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดการใช้พลังงานยังคงเป็นสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับนโยบายในอนาคตของรัฐบาลท้องถิ่นในอนาคต
โดยสรุป เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากทั้งการหดตัวลงของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน และการขาดแคลนพลังงานซึ่งส่งผลต่ออุปทานของสินค้าในบางอุตสาหกรรม จึงทำให้แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลง
ทำให้ EIC ปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2021 เหลือ 8.0% (จากการคาดกาณ์ก่อนหน้านี้ที่ 8.4%) และในปี 2022 ลดลงเหลือ 5.3-5.5% ซึ่งเป็นผลจากมาตรการเข้มงวดในการใช้พลังงาน และความตึงเครียดของสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ซึ่งส่งผลต่อภาคอสังหาฯ การก่อสร้าง รวมถึงความเชื่อมั่นและความมั่งคั่งของประชาชน โดยเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจล่าสุดก็ได้บ่งชี้ถึงแนวโน้มการชะลอของเศรษฐกิจจีนแล้ว สะท้อนจากดัชนี PMI ที่มีแนวโน้มปรับชะลอลงทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ (รูปที่ 13)
รูปที่ 13: ดัชนี PMI ของจีนมีแนวโน้มปรับชะลอลงทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ

ที่มา: ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ CEIC
บทวิเคราะห์จาก… https://www.scbeic.com/th/detail/product/7865
โดย: วชิรวัฒน์ บานชื่น (wachirawat.banchuen@scb.co.th)
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
จงรัก ก้องกำชัย (jongrak.kongkumchai@scb.co.th)
นักวิเคราะห์
[1] Hui et a. (2021, September 19). China Matters: Rising risks from the property market. Goldman Sachs
[2] หมายเหตุ: Correlation ราคาเหล็กรายเดือน โดยราคาเหล็กไทยปรับตัวตามหลังราคาเหล็กจีนราว 1 เดือน (laggard)
[3] ระดับความเข้มข้นของการใช้พลังงาน คือ อัตราส่วนของปริมาณพลังงานที่ใช้ต่อผลของกิจกรรม (Output)
[4] เกณฑ์สีแดง คือ จังหวัดที่ไม่บรรลุเป้าหมายอย่างรุนแรงในการลดระดับปริมาณการใช้พลังงาน (the energy consumption target) และลดระดับความเข้มข้นของการใช้พลังงาน (the energy intensity target)
[5] เกณฑ์สีเหลือง คือ จังหวัดที่ไม่บรรลุเป้าหมายในการลดระดับปริมาณการใช้พลังงาน (the energy consumption target) และลดระดับความเข้มข้นของการใช้พลังงาน (the energy intensity target)
[6] Hui et al. (2021, Septemer 29). Asia in Focus: China energy constraints – yet another growth shock. Goldman Sachs
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
