หลังจากปรับทัพครั้งใหญ่พร้อมเดินหน้ายุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลเชื่อมโลกคู่ขนานออฟไลน์ – ออนไลน์ที่ไร้พรมแดน นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ดิจิทัล (Digital Experience) ที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร ภายใต้จุดยืนผู้นำแห่งวิสัยทัศน์ “The Visionary Icon” ไปเมื่อหนึ่งปีก่อน

มาวันนี้ “สยามพิวรรธน์” ตอกย้ำการเดินหน้าสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) แบบฉบับผู้นำรีเทลอีกครั้งด้วยการปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ นำระบบการทำงานแบบอไจล์ (Agile Working Approach) มาใช้ เร่งเปิดรับ “คนรุ่นใหม่” ร่วมเป็นผู้นำสร้างโปรเจกต์พิเศษที่จะเป็น Talk of the world

อย่างที่ทราบกันดี หลายปีที่ผ่านมาทุกอุตสาหกรรมต้องเผชิญหน้ากับคลื่น ดิจิทัล ดิสรัปชัน (Digital Disruption) ที่ไม่มีท่าทีว่าจะจบ เทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว กลายเป็นโจทย์ใหม่ที่สร้างความท้าทายให้กับทุกองค์กร รวมทั้งธุรกิจค้าปลีกที่ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในปัจจุบัน

สยามพิวรรธน์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรที่ฝ่าวิกฤตมาทุกยุคสมัย การปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็น Movement ที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์ได้เดินหน้าผลักดันองค์กรให้ก้าวสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การพัฒนาฐานข้อมูลที่ทรงพลัง เพื่อนำไปสู่การสร้างธุรกิจทางดิจิทัลหลายประเภท ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างเต็มที่

ล่าสุดกับการจัดโครงสร้างองค์กรของบริษัทในเครือ 48 บริษัท เพื่อพัฒนาระบบให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว นำนวัตกรรมมาพัฒนาศักยภาพของทีมงาน ที่สำคัญคือเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ได้เป็นผู้นำและพิสูจน์ความสามารถ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่จะเป็น Talk of the world

อัมพร โชติรัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เล่าถึงที่มาของการทรานส์ฟอร์มครั้งนี้ว่า

“ทุก ๆ การเปลี่ยนผ่านทุกสถานการณ์วิกฤต สิ่งที่ทำให้สยามพิวรรธน์ผ่านมาได้คือพื้นฐานคุณค่าองค์กรที่เข้มแข็ง ประกอบไปด้วย ด้านธุรกิจที่มีมาตรฐานระดับโลก พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทรัพยากรบุคคลที่มีประสบการณ์ และด้วยความที่เผชิญวิกฤตมาแล้วทุกรูปแบบจึงมีความ ‘เข้าใจ’ และพร้อมที่จะ ‘ปรับเปลี่ยน’ นั่นทำให้เราไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ”

สิ่งเหล่านี้เองทำให้สยามพิวรรธน์คิดนำไปข้างหน้าและมองหาสิ่งที่จะมาเป็นวิถีชีวิตแห่งอนาคตเสมอ นี่คือที่มาของ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) ดังกล่าว

ทรานส์ฟอร์มครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา

อัมพรย้ำว่า การเดินหน้าสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) ของสยามพิวรรธน์ในครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เริ่มตั้งแต่การพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เริ่มที่ลูกค้าจบที่ลูกค้า ถัดมาคือการนำฐานข้อมูลในระบบที่แม่นยำและทรงพลังมาใช้ในการสร้างนวัตกรรมในการทำงาน ต่อยอดไปสู่การตอบโจทย์ความต้องการทั้งปัจจุบันและในอนาคตของลูกค้าและพันธมิตร

จากนี้ไปสิ่งที่เราจะได้เห็นจากสยามพิวรรธน์คือ การสร้าง Omni-Channel เชื่อมโลกคู่ขนานออฟไลน์ – ออนไลน์ที่ไร้พรมแดน โดยเริ่มต้นจากการปฏิรูปองค์กรจากภายในสู่ภายนอกจัดทัพบุคลากรให้พร้อม ที่สำคัญคือการดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถหลากหลาย และมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมาร่วมทีม เปิดโอกาสให้รับผิดชอบโครงการใหม่ ๆ ที่สยามพิวรรธน์กำลังทำอยู่ เพื่อเสริมทัพให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างก้าวกระโดด

พัฒนาองค์กรใหม่ทั้งระบบ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการทรานส์ฟอร์มให้สำเร็จคือ ขีดความสามารถขององค์กร ตั้งแต่โครงสร้างองค์กร ผู้นำ รูปแบบการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร รวมถึงบุคลากรทุกระดับต้องมีความพร้อม

ซึ่งในครั้งนี้ การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรที่เราได้เห็นจากสยามพิวรรธน์คือ การเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ การปรับรูปแบบการทำงาน พัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้พร้อมรับยุคดิจิทัล ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เอื้อต่อทิศทางที่องค์กรจะมุ่งไป

ทัสพร จันทรี Head of Organization Transformation สายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เล่าให้ฟังถึงประเด็นการเพิ่มขีดความสามารถของสยามพิวรรธน์ให้ฟังว่า

“สยามพิวรรธน์ตระหนักเป็นอย่างดีว่าคนที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ ในอนาคตคือ “คนรุ่นใหม่” ซึ่งมีแนวคิด ทัศนคติ และวิธีการทำงานที่แตกต่างจากวิธีการเดิม ๆ เราจึงเปิดรับบุคลากรใหม่ ๆ และมอบโอกาสการให้ได้เรียนรู้และทำงานกับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่มาจากองค์กรชั้นนำและต่างประเทศ ซึ่งกำลังร่วมทำโครงการของสยามพิวรรธน์อยู่ในขณะนี้”

โดยที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์เปิดรับคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่า 30 ปีเข้ามาร่วมงานมากถึง 50% และทุกคนมีโอกาสที่จะคิดและสร้างสรรค์ ได้รับความรู้ที่ล้ำ และทำงานในสิ่งแวดล้อมซึ่งมีอิสระและยืดหยุ่น ที่สำคัญจะได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่าอย่างโครงการ Talk of the world ต่าง ๆ ที่ผ่านมาของสยามพิวรรธน์ ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจในตนเองด้วย

นอกจากเปิดรับคนรุ่นใหม่มากขึ้นแล้ว สยามพิวรรธน์ยังนำรูปแบบการทำงานแบบอไจล์ (Agile Working Approach) มาใช้เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้มีลำดับชั้นไม่ซับซ้อน ทำให้คนทำงานมีส่วนในการตัดสินใจที่รวดเร็ว บนพื้นฐานการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีคุณภาพ

การขับเคลื่อนธุรกิจจึงเป็นไปในรูปแบบการทำงานเป็น โครงการธุรกิจพิเศษ (Project Base) ที่เปิดโอกาสให้ผู้รับผิดชอบงานได้มีบทบาทสำคัญและร่วมกับคนเก่ง ๆ จากองค์กรพันธมิตรทั่วโลก ในการสร้าง “โครงการระดับโลก” ดังเช่นผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านมาของสยามพิวรรธน์

ขณะที่การยกระดับขีดความสามารถของพนักงาน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญ โดยตั้งเป้าพัฒนาพนักงานให้พร้อมสำหรับอนาคต (Future Ready workforce) โดยเชิญ รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย รองอธิการบดี ด้านการวางและกำหนดยุทธศาสตร์ นวัตกรรม และพันธกิจสากล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมวางระบบการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมควบคู่ไปกับการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการคิดและพัฒนานวัตกรรมในองค์กรสู่อนาคตอย่างยั่งยืน (Sustainability Development)

เริ่มตั้งแต่การวางแผนพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มี Future Skills ที่จำเป็นต่อการสร้างธุรกิจนวัตกรรม เช่น ทักษะ Design Thinking หรือ Technology Innovation ทั้งยังร่วมกันสร้างนวัตกรรมซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่เปิดโอกาสให้น้อง ๆ นิสิตนักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ผ่านองค์ความรู้ในการทำงานจากสยามพิวรรธน์ ซึ่งจะช่วยสร้างและส่งเสริม ‘คน’ ในองค์กรขนาดใหญ่ที่จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจให้เดินหน้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ด้านการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เอื้อต่อการทำงาน สยามพิวรรธน์เน้นลงมือทำงานจริง โดยให้พนักงานทำงานร่วมกันแบบ Cross team ซึ่งจะมีรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาช่วยโค้ชให้ สร้างกลุ่มพนักงานคนรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็น Certified Scrum Master ช่วยอำนวยการเรียนรู้และทำงานร่วมกันแบบรุกรับฉับไว และส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการทำโครงการ “Change to Shine ปรับแล้วรอด เปลี่ยนแล้วรุ่ง” ตัวแทนพนักงานจากทุกสายงานทำหน้าที่เป็นผู้นำและผลักดันการเปลี่ยนแปลงหรือที่เรียกว่า Change Warrior ซึ่งเป็นการผสมผสานการทำงานร่วมกันของพนักงานรุ่นพี่มากประสบการณ์ และคนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์

ถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของบิ๊กรีเทลระดับโลกอย่าง สยามพิวรรธน์ ที่ในวันนี้มีเครื่องไม้เครื่องมืออย่างเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงสรรพกำลังอย่างบุคลากรที่พร้อมเดินทัพสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอย่างเต็มรูปแบบ

และที่น่าจับตาคือเปิดพื้นที่และสร้างบริบทในการทำงานที่ยืดหยุ่นและอิสระ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมคิด สร้างสรรค์ผลงานที่จะเป็น Talk of the world ถือเป็นเส้นทางการทำงานของคนรุ่นใหม่ในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านความรู้ การได้ลงมือทำจริง เปิดมุมมองใหม่ในการทำงานเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง และเติบโตไปพร้อมกับองค์กรระดับโลก

การปรับตัวอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนการทำงานเพื่อสิ่งที่ดีกว่า และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้าร่วมทำงาน คือการกระทำที่ยืนยันชัดว่า สยามพิวรรธน์ไม่ยึดติดกับความสำเร็จ และรูปแบบการดำเนินงานเดิม ๆ แต่พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการรีเทลอย่างต่อเนื่องดังที่เคยทำมา

 



อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline

ติดตาม Marketeer Online ทาง LINE Official


เพิ่มเพื่อน