วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ประเทศ วันที่ชาติไทยจารึกความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ วันที่อสนีบาตฟาดเข้ากลางดวงใจคนไทยทั้งประเทศ เมื่อ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” เสด็จสู่สวรรคาลัยอย่างไม่มีวันกลับมา
ท่ามกลางหัวใจคนไทยที่แตกร้าวเป็นเสี่ยง แม้หลายคนจะล้มร่ำไห้ วันเดียวกันนั้นยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่แม้หัวใจจะแตกร้าวเพียงใด แต่พวกเขายังล้มไม่ได้ หากภารกิจสำคัญยังไม่เสร็จลุล่วง ภารกิจที่จะผสานหัวใจคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียว ภารกิจที่จะนำคำสอนของ “พ่อ” มาถ่ายทอด และชโลมหัวใจคนไทยทุกคน
“พ่อไม่ได้ไปไหน พ่อยังอยู่ เพียงเราทำตามสิ่งที่พ่อสอน” เตวิช จริยานุกูลพันธ์ Creative Director ย้ำกับเราถึงหัวใจสำคัญที่สุด และเป็นแนวคิดของแคมเปญที่สร้างปรากฏการณ์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เสียง”ที่พูดถึงพ่อ
ย้อนไปตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. ปีที่ผ่านมา หากใครเปิดวิทยุทั้งวัน คงได้ฟังเรื่องราว “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ผ่านสปอร์ตวิทยุ 30 วินาที ที่กินใจ ซาบซึ้ง จนใครหลายคนโทรไปสอบถาม สปอร์ตนี้มาจากไหน ใครเป็นคนทำ แล้วที่ฟังๆอยู่จะสามารถติดตามเพิ่มเติมได้อย่างไร
สปอร์ตวิทยุชุดนี้คือส่วนหนึ่งของแคมเปญ The Story of Father ที่เป็นความร่วมมือระหว่างไทยประกันชีวิตกับ Ogilvy & Mather เอเยนซี ขาประจำที่สร้างสรรค์เรื่องราวดีๆสู่สังคมไทยสม่ำเสมอ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งงาน “เสียง”ระดับมาสเตอร์พีซที่นำเสนออีกครั้ง
“OM (Ogilvy & Mather) กับลูกค้า (ไทยประกันชีวิต)เราคิดกันมาก่อนแล้ว อยากจะรวบรวมเอาพระราชกรณียกิจสิ่งที่พระองค์ท่านได้ปฏิบัติให้เห็น รวบรวมและเผยแพร่ ทั้งในรูปแบบอนาล็อกและออนไลน์ ซึ่งในส่วนของพวกเราซึ่งเป็นทีม Copywriter สปอร์ตวิทยุ ก็ทำในรูปแบบสปอร์ตวิทยุอยากเห็นเหมือนเป็นคลังความรู้ที่เข้ามาดูแล้วไม่เครียดเหมือนสารคดี อยากให้ทุกคนเข้ามาและเห็นว่าท่านทรงเหนื่อยเพื่อคนไทยมากเท่าใด โดยที่เนื้อหาไม่หนักมาก มีหลากหลายอารมณ์ มีทั้งสนุกและซาบซึ้ง เป็นเรื่องที่เราสามารถฟังได้ทุกวันสบายๆ ยามที่เราคิดถึงพระองค์ท่านก็ฟังได้ตลอดเวลา ที่สำคัญเรื่องที่เป็นข้อคิดคำสอนแต่ละเรื่อง เราพยายามทำให้คนเห็นว่าสามารถนำไปปฏิบัติต่อได้จริง” เตวิชที่เป็นพี่ใหญ่ของทีมสปอร์ตวิทยุ เล่าที่มา

ละเมียดละไม ฟังเท่าไรก็ซาบซึ้ง
แน่นอนว่าเราอาจเคยได้ยินคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดจนเรื่องราว พระราชกรณียกิจของพระองค์ผ่านรูปแบบต่างๆ คนดังๆเคยพูด หน้าสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือในสถานที่ต่างๆ
แต่การทำเป็นสปอร์ตวิทยุ นั้นมีเสน่ห์รายละเอียดที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่ละเมียดละไมที่สื่อถึงอารมณ์ได้ดีกว่า นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้แคมเปญ The Story of Father โดดเด่นและมีความน่าสนใจมากเป็นพิเศษ
“มันอาจจะเป็นคอนเทนต์ที่เราเคยได้ยินมาแล้ว แต่พอเราตีความผ่านสปอร์ตวิทยุ ใส่อรรถรส ใส่ไอเดียลงไป เราก็จะได้ความรู้สึกใหม่ มีทั้งบางเรื่องที่เราอาจไม่เคยได้ยิน เราก็เชื่อว่าคนที่รักพระองค์ฟังแล้วก็จะมีความสุข ซึ่งสปอร์ตวิทยุ เป็นสื่อที่เข้าถึงและเข้าใจง่าย ที่สำคัญเข้าถึงคนไทยในทุกกลุ่ม นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เรามองว่าแคมเปญนี้น่าจะเข้าไปถึงหัวใจของคนไทยทุกคนได้” ธนรรณพ พูลคล้าย Creative Group Head
“เราทำทั้งหมด 70 สปอร์ต เพื่อสะท้อนถึงตลอด 70 ปีที่พระองค์ทรงทำเพื่อคนไทย ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะมีทั้งที่เป็นแง่คิด คำสอนของพระองค์ พระราชกรณียกิจ เป็นเรื่องเล่าในมุมของพสกนิกร เป็นเรื่องของสมเด็จพระเทพฯ เราพยายามทำให้มีทุกรส เพื่อที่คนฟังจะสนุกและติดตามฟังได้เรื่อยๆและความรักพสกนิกรของพระองค์ ที่ถูกเรียบเรียงในรูปแบบของสปอร์ตวิทยุอย่างสละสลวย เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ใครหลายคนฟังแล้วคงต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่”

แต่ละสปอร์ตมีความยาว 30 วินาที แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เลือกมาวันละ 25 สปอร์ต และด้วยความกินใจที่ทำให้ทุกคนเข้าไปฟังต่อในเว็บไซต์ ซึ่งเป็นอีกช่องทางสำคัญ ที่รวบรวมทั้ง 70 ชิ้นเอาไว้ใน www.thestoryoffather.com
ปรากฏการณ์ 1 ต่อ 20 คน!
ซึ่งต้องบอกเลยว่างานนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับ Ogilvy & Mather และอาจจะรวมถึงเอเยนซีเจ้าอื่นๆด้วย กับแคมเปญสปอร์ตวิทยุหนึ่งโปรเจกต์ที่ต้องใช้ครีเอทีฟทั้งหมดกว่า 20 ชีวิต ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่จะเป็นสุดยอดงานคราฟต์ระดับมาสเตอร์พีซงานหนึ่งในประเทศไทย
“หลายคนคงเห็นแคมเปญ Follow the Father มาบ้างแล้ว ซึ่งแคมเปญ The Story of Father ก็เป็นการต่อยอด โดยหัวใจคือต้องการให้คนไทยเห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือการที่เราทุกคนน้อมเอาคำที่พระองค์ทรงสอน มาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้”วัชรพงษ์ แดนดี Copywriter ไม่เพียงอธิบายเสริม แต่เล่าบรรยากาศการทำงานด้วย
แน่นอนว่าท่ามกลางความเสียใจของคนนับล้าน คงไม่ผิดที่ณ เวลานั้นคนที่รักในหลวงจะยังคงโศกเศร้า หลายคนช็อกแบบทำอะไรไม่ถูกในตอนนั้น
“ก่อนวันที่ 13 ในช่วงที่เราสวดมนต์ภาวนาท่านทรงหายประชวร ก็อยู่ในช่วงคิกออฟโปรเจกต์นี้อยู่ ตอนแรกที่เราบรีฟงานกันมาก็เป็นอีกฟิวหนึ่งคือสรรเสริญพระองค์ท่าน แต่พอท่านสวรรคต ความรู้สึกตอนทำมันก็ยากขึ้นไปอีก คือเรารู้สึกว่าเราอยากทำให้ดียิ่งขึ้น ให้ทุกคนฟังแล้วรู้สึกลึกซึ้งมากขึ้น ให้มันโดนความรู้สึกของคนมากขึ้น” -วัชรพงษ์

พี่ทั้งสองคนพยักหน้า จริงอย่างที่น้องเล็กของทีมที่มาคุยกับเราวันนี้พูด หลังจากที่ตั้งสติได้จากความปวดร้าว วันที่ 14 ตุลาคม งานนี้ทุกคนใน OM จึงเข้าห้องประชุมเบรนสตอร์มกันเคร่งเครียด และไม่ต้องบอกแต่ทุกคนเข้าใจด้วยตัวเองดีว่างานนี้ต้องออกมาดีที่สุด มีเท่าไหร่ ใส่หมด
“จำได้เลยว่าเป็นครั้งแรกที่เราประชุมกันแล้วพูดอะไรกันไม่ออกเพราะแต่ละคนก็กำลังเศร้า ตอนนั้นก็ไม่มีใครมีจิตใจอยากทำอะไรต่อแล้ว คือทุกอย่างมันท้อแท้เศร้าไปหมด แต่เราคิดว่ายิ่งในช่วงที่ทุกคนทั้งประเทศกำลังเศร้า เรายิ่งต้องตั้งใจทำให้เต็มพลังมากขึ้น เพื่อที่สิ่งที่เราทำจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนไทยได้ ผมบอกน้องแบบนี้ พูดไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย”-ธนรรณพ
“เพราะทุกคนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่แค่งาน แต่เป็นคุณค่าของชีวิตเราที่เราจะได้เอาความรู้วิชาชีพที่เรามี ทำสิ่งเล็กๆที่เราทำได้ เพื่อถวายให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ใครมีฝีมือเท่าไหร่ ใส่กับงานนี้แบบสุด”-เตวิช
จากน้ำตาสู่น้ำคำที่เขียนจากหัวใจ
แม้ว่าเตวิชหรือธนรรณพที่ถือเป็น Copywriter สปอร์ตวิทยุระดับพระกาฬมีประสบการณ์ในสายงานยาวนาน แต่ทั้งคู่พูดเหมือนกันว่านี่เป็นสปอร์ตวิทยุที่ “ยากที่สุดในชีวิต”
“ยากตรงที่เราเองก็ตั้งเป้าไว้สูง คือเรารู้ว่างานนี้สำคัญมากสำหรับเรา ก็เลยเป็นความกดดันตอนแรก แต่ตอนที่ Study รวบรวมข้อมูล ยิ่งศึกษาเรื่องราวมากขึ้น ได้อ่าน ได้ฟังจากผู้รู้มากมายหลากหลาย เราก็ยิ่งอินมากขึ้น คือบางเรื่องเราไม่เคยรู้มาก่อน อย่างตอนที่พระองค์ประชวร พระองค์บอกว่าอยากเสด็จไปท่าน้ำ แพทย์ก็อนุญาตเพราะคิดว่าบรรยากาศริมน้ำดีๆจะทำให้พระองค์ผ่อนคลายพระราชหฤทัย แต่เมื่อพระองค์เสด็จไปถึง พระองค์ทรงดูระดับน้ำ และตรัสให้คำแนะนำกับผู้ติดตาม เพื่อที่จะแก้ไขเรื่องน้ำท่วม ไม่น่าเชื่อขนาดทรงประชวร แต่ยังคิดถึงคนไทยขนาดนี้”-ธนรรณพ
ถ้าจะเขียนให้คนเชื่อ ตัวเราต้องเชื่อก่อน และนั่นทำให้เขาเปลี่ยนความกดดันกลายเป็นแรงบันดาลใจ รังสรรค์ผลงานจนเสร็จ
“ผมคิดว่าที่เราประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าเพราะพระองค์ท่านทรงเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย เราเพียงคัดเลือกและกลั่นกรองด้วยฝีมือและด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดของการเป็น Copywriter ทำให้สละสลวย ผมเชื่อว่าคนฟังก็ประทับใจ และก็คาดหวังว่า เขาจะนำเรื่องราวของพระองค์ แง่คิดคำสอนไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน” -วัชรพงษ์

“จริงๆไม่จำเป็นต้องสำเร็จยิ่งใหญ่ก็ได้นะ ไม่ต้องทำอะไรเกินตัว ขอเพียงตระหนักรู้ และคิดริเริ่มที่จะทำ เราคิดว่านี่คือความสำเร็จแล้ว เพราะเราเชื่อว่าพระองค์ท่านก็ทรงอยากให้คนไทยคิดถึงท่าน ตอบแทนท่านด้วยการทำความดี ทำในสิ่งที่พระองค์ดำริ และสอนคนไทยมานานกว่า 70 ปี” -ธนรรณพ
“เราเชื่อว่าถ้าคนไทยได้ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ท่านสอน นอกจากเป็นมงคลชีวิตเราแล้ว เราเชื่อว่าก็เหมือนกับการทำให้พระองค์ท่านยังคงอยู่กับเรา” –เตวิช ย้ำท้ายด้วยคีเวิร์ดที่สำคัญที่สุด ที่เขาบอกไว้แล้วตั้งตอนแรก
เรื่องราวของพ่อจะอยู่กับเราตลอดไป ฟังเรื่องราวดีๆของพ่อได้ที่ thestoryoffather
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ