MONO ทำความรู้จักองค์กรที่มีพนักงานเป็นพลังขับเคลื่อนหลัก (สัมภาษณ์)
Marketeer มีนัดกับคุณ ปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ที่ออฟฟิศโมโนเน็กซ์ หรือในอดีตคือสนามบาสเกตบอล “29 Stadium” ที่วันนี้ได้ดัดแปลงมาเป็น Mobile Office ชั่วคราวของโมโน เพื่อให้สอดรับกับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ในสถานการณ์โควิด-19 และเป็นหนึ่งในแนวทางการประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย ภายใต้กรอบการขับเคลื่อนตามแนวทางความยั่งยืนของ MONO อีกทางหนึ่ง
โดย CEO ของ MONO เปิดการสนทนากับ Marketeer ถึงแนวทางการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ซึ่งจะมีทั้งภายในและภายนอก ภายใต้แกนหลัก 3 แกน ได้แก่ 1. ด้านสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 2. ด้านสิ่งแวดล้อม 3. ด้านทรัพยากรบุคคล
ใช้ความเป็นสื่อ ขับเคลื่อนเพื่อช่วยเหลือสังคม
ในส่วนของการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน ด้านสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) นั้น CEO ของ MONO เล่าให้ฟังว่า โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ MONO อาจไม่ได้กระทบชุมชนมากนัก อย่างไรก็ดี โมโนยังคงมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมผ่านบทบาทความเป็น “สื่อดิจิทัล” อยู่เสมอ
“เราพยายามดูว่าจะทำอะไรที่ตอบสนองและอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันได้กับทุกคนรอบข้าง โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจของเราอาจไม่ได้กระทบชุมชนมากนัก ดังนั้นเราจึงพยายามจะใช้ความเป็นสื่อดิจิทัลในการช่วยเหลือคนรอบข้างเท่าที่พอจะทำได้ เช่น ให้การประชาสัมพันธ์ โปรโมตกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อช่วยเหลือเวลามีเหตุต่าง ๆ หรือการลงพื้นที่ช่วยชุมชนตามกำลังที่เราพอจะทำได้ นอกจากนี้ ยังมีการทำกิจกรรมร่วมกับสมาคมคนตาบอดที่ดำเนินมาตลอด ซึ่งเราพยายามใช้บทบาทของความเป็นดิจิทัล ความเป็นสื่อกลางตามหน้าที่ของเรา ดูว่าจะสามารถช่วยเหลือสังคมในจุดไหนได้บ้าง ดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม”
“MONO: Go Green” แนวทางขับเคลื่อนเพื่อสิ่งแวดล้อม
การขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมานั้น MONO ได้ดำเนินโครงการปลูกป่าเพื่อช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ตามเทรนด์องค์กรยุคใหม่ที่มุ่งเน้นสู่การเป็น Go Green อย่างไรก็ดี จากวิถีชีวิตยุคใหม่ในยุคโควิด-19 โมโนได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส โดยเดินหน้ายกระดับการดำเนินการด้านนี้อย่างจริงจัง ผ่านหลากหลายนโยบายที่เป็นแนวทางเพื่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
“เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของการปรับตัวเราเอง ที่ผ่านมาเราดำเนินการสู่การเป็นบริษัทสีเขียว หรือ Go Green อย่างจริงจัง และเนื่องจากเป็นช่วงโควิด-19 จึงตอบโจทย์เรื่องการลดค่าใช้จ่าย การลดการใช้ไฟฟ้า ซึ่งในความประหยัดพลังงานเรายังมุ่งเน้นการดึงประสิทธิภาพของการทำงานให้ได้สูงสุด ด้วยอุปกรณ์การทำงานต่าง ๆ ที่ต้องพร้อมสรรพ พอเราเห็นตัวเลขต่าง ๆ ลดลง ก็คิดไปต่อว่าจะทำให้ประหยัดกว่านี้ได้ไหม เลยเป็นที่มาของ “โครงการพลังงานแสงอาทิตย์” เพิ่มเติมเข้ามาด้วย ซึ่งก็คิดว่าถ้าเราลดค่าใช้จ่ายค่าไฟลงไป และสามารถใช้โซลาร์เซลล์ได้ โดยตั้งเป้าว่าโครงการนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดการใช้ไฟฟ้าได้ 15%
อีกโครงการหนึ่งคือ Paperless คือใช้กระดาษให้น้อยที่สุด เพื่อช่วยลดโลกร้อน รวมไปถึงในส่วนของพลาสติก ที่แม้จะลดยากในสังคมบ้านเรา แต่ที่เราพยายามรณรงค์ให้ทุกคนพยายามที่จะพกกระติกน้ำมาเอง และพยายามใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด และทิ้งแบบถูกต้องเพื่อรวบรวมพลาสติกให้เป็นที่เป็นทางนำไปสู่ระบบรีไซเคิลอย่างถูกต้องต่อไป”
พัฒนาศักยภาพบุคลากรให้ครอบคลุมในทุกมิติ
สำหรับแกนที่ 3 คือ “ด้านทรัพยากรบุคคล” CEO ของ MONO กล่าวว่า ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของแนวทางขับเคลื่อนองค์กรในทุก ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของธุรกิจและความยั่งยืน ที่ส่งผลถึงในทุกภาคส่วนต่อไป
“ด้านทรัพยากรบุคคล จะมีทั้งในแง่ของพฤติกรรมและด้านของกระบวนการ ซึ่งต้องเรียนว่าด้วยความเป็นบริษัทมหาชน เราเป็นบริษัทที่โปร่งใส-ต่อต้านทุจริต เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เราได้จัดการขั้นตอนทุกอย่างตามที่บริษัทมหาชนควรจะทำตามกฎระเบียบอย่างครอบคลุม ในขณะเดียวกันตัวของพวกเราตั้งแต่ระดับผู้บริหารลงไป ตลอดจนจากเด็ก ๆ ขึ้นมาก็ต้องเข้าใจคำว่าโปร่งใส-ต่อต้านทุจริต ซึ่งบริษัทพยายามที่จะสื่อสารออกไปให้กับทุกคน”
CEO ของ MONO เสริมว่า จุดที่น่าสนใจของพนักงานรุ่นใหม่ ๆ คือ ไม่ค่อยชอบให้มีกฎเกณฑ์มาบังคับ ดังนั้น ในบทบาทของผู้บริหารจึงต้องปรับวิธีการนำเสนอให้เป็นในมุมของความท้าทาย หรือในรูปแบบเกม เพื่อให้เข้าถึงพนักงานทุกระดับ
“เราต้องให้เขาสนุก ให้เขาเข้าถึง ให้เขาฝังลงไป โดยที่ไม่ต้องบอกว่านี่คือข้อบังคับ จะเป็นในเชิงการแนะนำว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า ถ้าคุณได้รับ จะอธิบายแบบนั้นมากกว่าเพื่อให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสารกับเขา”
นอกจากนี้ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลนั้น คุณบอยยังมองไปถึงเรื่องของการ Up Skill การเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนไม่ย่ำอยู่กับที่ โดย CEO คนเก่งถอดสูท ถลกแขนเสื้อ สวมบทผู้สอนลงมือถ่ายทอดความรู้ด้วยตัวเอง
“ผมจะมีคำถามกับเด็ก ๆ เสมอว่า ทำงานผ่านมา 1 ปี คุณเก่งขึ้นบ้างไหม อย่าเพิ่งมองว่าทำอะไรให้บริษัทได้ประโยชน์บ้างนะ เอาแค่มองว่าวันนี้ถ้าคุณย้ายงานไปที่อื่น คุณจะเคลมความสามารถตัวเองว่าอย่างไร เอาแค่นี้ก็ได้ ถ้าทำไม่ได้หรือไม่มีความรู้อะไร แสดงว่ามันอยู่กับที่
ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้เพิ่มโดยจัดเป็นคอร์สการอบรม ซึ่งผมเองเป็นส่วนหนึ่งในการเทรนให้กับเด็ก ๆ ด้วยในหลาย ๆ หัวข้อ ซึ่งช่วง Work From Home ที่ผ่านมาก็จะใช้ผ่านออนไลน์ จัดทำเทรนนิ่งง่าย ๆ โดยใช้การแชร์เรื่องราว หรือคำถามที่สงสัยที่อยากรู้เข้ามา ผมก็จะรวบรวมประเด็นมาตอบคำถาม รวมไปถึงการทำคลิปสอนต่าง ๆ ที่ช่วยพัฒนาเรื่องของความคิด แรงบันดาลใจ หรือการพัฒนาทักษะทางด้านภาษา ซึ่งผมก็จะอัดคลิปเข้ามาเป็นตอน ๆ เหมือนเป็นกึ่ง YouTuber ประจำบริษัทไปด้วย
เพราะผมจะมองว่า ถ้ามีปัญหาผมก็ต้องไปเคลียร์เอง ต้องไปทำความเข้าใจพนักงาน ประมาณว่าถ้าต้องจ้างคนอื่นแล้วคนอื่นไม่เข้าใจพนักงาน แต่ผมมั่นใจว่าผมเข้าใจทุกคน เพราะผมเป็นพนักงานมาก่อน ดังนั้น ผมจะสอนเอง เป็นคุณครูเอง บางที่ก็เป็น PR เป็น Influencer กับพนักงาน หรือเป็นเหมือนกูรูมาช่วยตอบ หรือบางครั้งผมก็จะเป็นพิธีกร หรือบางครั้งผมก็จะเป็นแค่ moderator แค่โยนคำถาม อะไรแบบนี้ และก็พยายามคัดเลือกคน หรือแผนกต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์”
ทั้งนี้ CEO ของ MONO บอกกับเราว่า สิ่งสำคัญคือต้องสวมจิตใจพนักงาน เข้าใจ และเข้าถึงทุกคนให้มากที่สุด เพื่อนำเสนอในเรื่องเหมาะสมและตรงกับความต้องการที่สุด และนำเสนอให้น่าสนใจ
“ในส่วนนี้ได้กำชับกับฝ่าย Internal Communication และ HR ว่าเราต้องเลิกเป็นคนคุมกฎ หรือเลิกเป็นคนที่พยายามจะตะโกนเสียงดังให้พนักงานฟัง แต่เราต้องทำตัวให้เหมือนกับเพื่อนที่พนักงานอยากปรึกษา เป็นเพื่อนที่คิดว่าร่วมเล่น ร่วม Enjoy กับเขา แล้วเข้าให้ถึงความคิดเขาด้วยว่า อะไรที่มันอยู่ในจิตใจเขา ทำให้เขาเกิดจิตสำนึกโดยไม่ต้องฝืน นั่นคือแก่นสำคัญ
ทุกครั้งที่เราคุยกัน ผมพยายามลบมุมความคิดเดิม และบอกทุกคนเสมอว่า ‘สำหรับ MONO ไม่จำเป็นต้องเดินตามผู้ใหญ่ตลอดเวลา’ เพราะที่ผ่านมาการทำงานของผมที่นี่หลาย ๆ ครั้งเจ้านายผมค่อนข้างให้อิสระในการแลกเปลี่ยนความคิด ซึ่งผมคิดว่าในช่วงนั้นผมเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้านายในอดีตของยุคนั้น แล้วเกิดภาพแบบนี้ ฉะนั้นผมคิดว่าในเมื่อเราเติบโตมาจากพนักงานคนหนึ่ง เราได้เห็นคนรอบข้างเติบโตมา ก็เลยคิดว่าถ้าเรายิ่งเข้าใจเด็กมากเท่าไรจะยิ่งดีกับบริษัทเองเท่านั้น”
โควิด-19 กับความท้าทายในการขับเคลื่อนแผนความยั่งยืนของ MONO
Marketeer ยิงคำถามเพิ่มเติมว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อส่งผลต่อกรอบการทำงานเพื่อความยั่งยืนบ้างไหม ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นไม่แตกต่างกับทุกองค์กรนัก โดยมองว่าสภาวการณ์เช่นนี้เป็นอุปสรรคอย่างมาก อย่างไรก็ดี การเรียนรู้และปรับตัวช่วยให้เห็นทิศทางใหม่ ๆ ในหลายแง่มุม
“ก่อนหน้านี้เราดำเนินแผนการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แต่โควิด-19 ทำให้เกิดการหยุดชะงัก จริงอยู่เรายังดูแลสิ่งแวดล้อม ทำกิจกรรมเพื่อสังคม และทำตามสิ่งที่บริษัทมหาชนควรจะเป็นได้เป็นอย่างดี แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดปัญหาคือ ‘พนักงาน’ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจและเรื่องของความยั่งยืน
ผมคิดเสมอว่าปัญหาอะไรก็ตามที่มันกระทบเรื่องส่วนตัว บริษัทต้องเห็นใจเขาด้วย คือถ้าเกิดว่าครอบครัวเขากำลังกังวลเรื่องการติดโควิด-19 เราจะไปดึงประสิทธิภาพให้ได้ 100% แบบเดิมมันไม่ได้ เราต้องหยุดก่อนให้เขาจัดการเรื่องส่วนตัวก่อน
เรารับรู้เลยว่าช่วงที่มีสถานการณ์ระบาดอย่างรุนแรง การผลักดันในเรื่องการสื่อสารในมุมของความยั่งยืนมันยากขึ้น เปรียบเทียบจากเดิมการผลักดัน 100% ทุกคนรับรู้ทั้งหมด แต่ช่วงนั้นการรับรู้อยู่แค่ 60-70% เท่านั้น หายไปประมาณ 1 ใน 3 เลย ซึ่งเราต้องมาแก้ไขกัน”
โดยแนวทางการแก้ไขนั้น สำคัญอยู่ที่การเตรียมความพร้อมในการปรับตัวต่าง ๆ และการป้องกันเพื่อพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในลักษณะนี้อีก
“เราได้เรียนรู้และนำไปสู่การเตรียมตัวที่ดี พนักงานทุกคนจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้อุปกรณ์และทักษะใหม่ ๆ โดยเฉพาะการที่จะต้องประชุมออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนการประชุมต่อหน้า หรือแม้กระทั่งฝั่ง HR ที่ตอนนี้ได้รับฉายาเป็น ‘กระทรวงสาธารณสุขชั่วคราว’ คอยประสานโรงพยาบาลหรือหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือดูแลทั้งตัวพนักงานและครอบครัว เพื่อทำให้ทุกคนสบายใจ และรับรู้ว่าบริษัท Support คุณ และพอคุณแก้ปัญหาเสร็จแล้วค่อยกลับมาลุยกันต่อ ผมคิดเสมอว่า ถ้าข้างในองค์กรเราแข็งแกร่งจะเป็นแรงผลักดันเราพร้อมลุยในทุกเรื่อง”
พร้อมผลักดันเรื่องความยั่งยืนทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับทิศทางการสานต่อเรื่องความยั่งยืนในอนาคตของ MONO นั้น ยังคงดำเนินไปตามแนวทางของบริษัทมหาชนอย่างเคร่งครัด เสริมด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาพนักงาน เพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่งและส่งต่อสิ่งดี ๆ สู่ภายนอก รวมไปถึงใช้จุดแข็งความเป็น “สื่อดิจิทัล” ช่วยเหลือและสนับสนุนในเรื่องของความยั่งยืนในทุกมิติ
“ทิศทางในอนาคตนั้น นอกจากเรื่องที่ต้องทำตามกฎอย่างเรื่องของการต่อต้านทุจริตหรือเสริมสร้างความโปร่งใสที่ยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยภายในองค์กร เราจะมีกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นให้ทันกับยุคสมัยและเทคโนโลยี เพื่อให้พนักงานที่เลื่อนชั้นขึ้นมาได้รู้ว่าการดูแลตัวคุณเองในฐานะใหม่ หรือการดูแลลูกน้องของคุณในตำแหน่งใหม่ ต้องดูแลอย่างไรให้โปร่งใสเหมาะสมในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง
ขณะที่การพัฒนาศักยภาพนั้น จะยังคงมีคอร์สอบรมต่าง ๆ ต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น โดยหาแนวทางในการเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นในทุกสภาวการณ์ โดยได้ศึกษาวิธีการ Transform และการสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานจากหลากหลายบริษัทในต่างประเทศและนำมาปรับใช้กับเราให้เหมาะสม
ส่วนเรื่องของภายนอกที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การลดโลกร้อน หรือการช่วยเหลือสังคม ตรงนี้เรามีโปรเจกต์อย่างต่อเนื่อง และได้ขับเคลื่อนยกระดับสู่ขั้นต่อไปคือเรื่องของ ‘พันธมิตรลดโลกร้อนและความโปร่งใส’ โดยเราจะสำรวจตรวจเช็กผู้ซื้อ-ผู้ขายร่วมของ MONO ทุก ๆ ราย เพื่อให้มั่นใจว่าพันธมิตรทุกรายของเราร่วมลดโลกร้อน หรือมีความโปร่งใสเช่นเดียวกับเราให้ได้มากที่สุด ซึ่งตอนนี้เริ่มคุยกับหลาย ๆ ราย ทั้ง Supplier, Buyer
นอกจากนี้ ในบทบาทของสื่อ เราพร้อมเป็นสื่อกลางส่งเสริมและสร้างการรับรู้ นำเสนอเรื่องราวดี ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่ง MONO ยินดีที่จะช่วยผลักดันทั้งทางตรงและทางอ้อม
รวมไปถึงเรื่องของ Video on Demand ที่ร่วมมือกับ 3BB GIGATV เพื่อช่วยเหลือเรื่องของการเรียนรู้กับทางโรงเรียน ชุมชน สมาคมคนตาบอด และอื่น ๆ ซึ่งเราพยายามมองรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อให้ความบันเทิงต่าง ๆ ผ่านสื่อดิจิทัลของเรา มีส่วนช่วยคนที่เขายังขาดอุปกรณ์ ขาดความเข้าถึง Content เหล่านี้ ซึ่งเราและพันธมิตรพร้อมร่วมมือกันเพื่อช่วยส่งเสริมอย่างจริงจังต่อไป” สามแกนหลักมั่นคงแข็งแกร่งขนาดนี้ MONONEXT ได้ใจพนักงานไป 100% เต็ม”
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ