Top Glove ทำความรู้จักยักษ์ใหญ่ตลาดถุงมือของมาเลเซียที่ยังทรุดเพราะพิษสงคราม
ไม่มีอุตสาหกรรมไหนรอดพ้นวิกฤต Supply shock ที่สืบเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนไปได้ สำหรับยักษ์แบรนด์ถุงมือมาเลย์ปัญหานี้ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายลง
Top Gloves บริษัทผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่สุดของโลกสัญชาติมาเลเซีย เผยว่าไตรมาสล่าสุดทำกำไรได้เพียง 6 ล้านดอลลาร์ (ราว 207 ล้านบาท) ลดลงมากถึง 98% จากไตรมาสเดียวกันของปี 2021 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กระทบเป็นระบบต่อต้นทุนในการผลิตทั้งหมด
การที่มาเลเซียเป็นประเทศแหล่งเพาะปลูกยางพาราแหล่งใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับยางพารา เช่น ถุงมือยางและถุงยาง จึงเฟื่องฟูอย่างมาก โดยสถานการณ์จะเข้าทางทุกครั้งที่เกิดโรคระบาดขึ้น เช่น การระบาดของโรคเอดส์ช่วงยุค 80
ในส่วนของถุงมือยาง บริษัทของมาเลเซียถือเป็นเบอร์ใหญ่ในตลาดโลก ครองสัดส่วนตลาดสูงถึง 67%
และปี 2020 ที่โควิดระบาดหนักรอบแรก ถุงมือยางกลายเป็นสิ่งจำเป็น ทำให้ยอดส่งออกถุงมือยางของมาเลเซีย เพิ่มเป็น 5,200 ล้านดอลลาร์ (ราว 157,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2019
Top Gloveคือบริษัทที่ทำเงินได้มากสุดจากการระบาดของโควิดรอบแรก เพราะเป็นบริษัทผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่สุดของมาเลเซียและใหญ่สุดในโลกด้วย
ทว่าปีนี้กลายเป็นสถานการณ์แบบหนังคนละม้วน โดยสงครามในรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนในการผลิตทั้งหมดโดยเฉพาะราคาน้ำมันสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังเจอกับภาวะเงินเฟ้อ และค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลมาเลเซียก็สั่งขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก
ปัจจัยลบเหล่านี้ฉุดกำไร Top Glove ในไตรมาสล่าสุดของปีงบประมาณนี้ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 31 พฤษภาคม ให้ลงมาอยู่ที่เพียง 6 ล้านดอลลาร์ (ราว 207 ล้านบาท) เท่านั้น
ลดลง 98% จากไตรมาสนี้ปี 2021 ซึ่งเคยสูงถึง 468 ล้านดอลลาร์ (ราว 16,221 ล้านบาท)
ส่วนผลประกอบการก็ย่ำแย่เช่นกัน โดยอยู่ที่ 332 ล้านดอลลาร์ (ราว 11,460 ล้านบาท) ลดลงจาก 946 ล้านดอลลาร์ (ราว 32,655 ล้านบาท) ตามกรอบเวลาเดียวกัน
ตัวเลขฝั่งลบในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ยังตอกย้ำว่าสถานการณ์ของTop Glove น่าเป็นห่วง โดยปีนี้หุ้นTop Gloveร่วงลงมากถึง 53%/cna, reuters
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ