ในโลกของการแข่งขันในธุรกิจ แต่ละองค์กรก็มีความเป็นเลิศที่สร้างจุดเด่นจากคู่แข่งที่แตกต่างกันไป และในธุรกิจของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ธีรศักดิ์ อรุณเริ่มวัฒนะ Group Director Group Brand Communication & Media Management ให้เหตุผลของความเป็นเลิศ มาจากนวัตกรรม ที่กลายเป็น DNA ชององค์กรที่ให้ทรูแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น
นับตั้งแต่ 12 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ ศุภชัย เจียรวนนท์ CEO ปรับเปลี่ยนทิศทางองค์กรวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินธุรกิจ สู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านสื่อสารครบวงจร เปลี่ยนชื่อบริษัทจากเทเลคอมเอเชีย เป็น ทรู คอร์ปอเรชั่น สะท้อนถึงการเป็นผู้ให้บริการที่ผูกพันใกล้ชิดกับไลฟ์สไตล์และธุรกิจของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย และก่อกำเนิดนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเสมอ
“ซีอีโอศุภชัยมีวิสัยทัศน์ มองธุรกิจเทเลคอมในอนาคตไม่ได้อยู่กับฟิกซ์ไลน์ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน ปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ความเป็นนวัตกรรม มีการนำเสนอและปรับปรุง ปรับเปลี่ยนให้บริการสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลูกค้าในปัจจุบันและอนาคตเสมอ”

มองไปไกลกว่า3G/4G
“วันนี้ตลาดเทเลคอมนำเสนอกันแต่เรื่อง 3G/4G แต่ CEO ทรูได้มองไปไกลไปถึง Smart Life, Smart City ถึงแม้ว่าภาครัฐยังไม่ชัดเจนเรื่องนี้ ในฐานะบริษัทเอกชนจึงมองว่าน่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เกิดขึ้น เพราะหลายประเทศหลักๆ ทั่วโลกเปลี่ยนสู่ Smart City กันหมดแล้ว”
4G เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในอดีตการทำ Smart City อาจจะยาก เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ตไร้สายที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่เพียงพอ
“การสร้าง Smart City ที่ต้องอาศัยความพร้อมด้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือให้บริการบนคลื่นความถี่และความจุที่มากเพียงพอ และทรูเป็นเพียงโอเปอเรเตอร์รายเดียวที่มีเครือข่ายมือถือให้บริการทุกคลื่นความถี่พร้อมบริการจากชนะการประมูลคลื่นความถี่ให้บริการเพิ่มอีก 2 คลื่นความถี่ได้แก่ 900MHz และ1800MHz รวมถึง อินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออฟติก และคอนเทนต์ที่มาตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า”
พร้อมก้าวเป็นผู้นำในหลายๆ ด้าน
หลังจากทรูประมูลได้คลื่นความถี่ให้บริการเครือข่ายมือถือใหม่เพิ่มมาอีก 2 คลื่นธีรศักดิ์มั่นใจว่าปีนี้เป็นปีที่ทรูมีความพร้อมมากที่สุด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายๆ ด้วย จากที่ผ่านมาทรูอาจมีติดขัดอยู่บ้าง
“ทรูเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ ทั้งอินเทอร์เน็ต และเคเบิ้ลทีวี และเป็นเบอร์สามอยู่เพียงธุรกิจเดียวคือธุรกิจโมบาย จากการเข้ามาทำตลาดหลังสุด การเปิดประมูลคลื่นของกสทช.ในครั้งนี้ ทรูชนะการประมูลทั้ง 2 คลื่นทำให้มีความแข็งแกร่งมากในด้านเน็ตเวิร์คให้บริการ และการได้คลื่นความถี่ 900MHz มาจะเพิ่มความสามารถให้กับทรูบริการบนเขาบนดอยได้ไม่มีปัญหา เน็ตเวิร์คจึงไม่ใช่ Barrier อีกต่อไป หลังจากชำระไลเซ่นส์คลื่น 900MHz ครั้งแรกไปแล้ว ก็จะเห็นทรูรุกทำตลาดอย่างเต็มที่”
“ยังไม่อยากโฆษณาออกไป ถ้าลูกค้ายังไม่สามารถได้สิ่งที่ดีที่สุด และหลังจากชำระไลเซ่นส์งวดแรกก่อนเดดไลน์ 21 มีนาคมนี้ จะได้เห็นอะไรเด็ดๆ จากทรูเหมือนกัน เพราะทรูอยู่ในPositionที่ได้เปรียบ คู่แข่งไม่ได้คลื่นก็ต้องพยายามดึงลูกค้ากลับมา”
เทคโนโลยีเหมือนกันแต่ต่างด้วยพรีวิเลจ
ธีรศักดิ์มีความเชื่อว่าการแข่งขันบนเทคโนโลยีคู่แข่งขันก็จะตามเท่าทันสักวัน และไม่มีความแตกต่างหลงเหลืออีกต่อไป และได้สร้างความแตกต่างในกับแบรนด์พร้อมทำ CRM กับลูกค้าด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ การสร้างความต่างต้องอยู่บนบริการและพริวิเลจ
“ให้บริการพริวิเลจผ่าน True You ในบัตร Black Card และ Red Card ให้บริการมา 3-4 ปี เป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทรายให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าในทุกๆ ที่ ทั้งที่จอดรถ ร้านอาหาร และอื่นๆ ที่ลูกค้าสามารถใช้ได้จริงๆ ทุกวัน จนวันนี้ลูกค้าทรูมองเห็นความสำคัญของบัตร Black Card และต้องการที่จะเป็นเจ้าของเพื่อสิทธิพิเศษที่เพิ่มสูงขึ้น และสิ่งนี้ทำให้ทรูได้ใจลูกค่า และอยู่กับทรูไม่ไปไหน”

สตาร์ทอัพและคอนเทนต์ประตู ธุรกิจสู่ตลาดโลก
“การทำธุรกิจมือถือติดกับสัมปทาน ไลเซนส์ ไม่สามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ไม่สามารถทำ Global Marketing ได้ ในวันนี้ถ้าธุรกิจไหนสามารถต่อยอดสู่ธุรกิจโลกได้ จะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโต เช่น ไลน์ บริษัท Startup ที่เริ่มจากคนไม่กี่คน ปัจจุบันมีพนักงานน้อยกว่ากลุ่มทรู 1 ใน 10 แต่ทำรายได้มากกว่าถึง 3 เท่า เพราะมีต้นทุนต่ำ และให้บริการทั่วโลก และหลายบริษัทตอนนี้ให้ความสำคัญกับการทำ Startup และทรูก็เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริม Startup ผ่าน True Incube เป็นแมวมองหาสนับสนุน Startup ที่โดดเด่นและผลักดันให้ธุรกิจทรูไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเทศไทย”
และความแตกต่างที่มีความแข็งแกร่งอีกอย่างหนึ่งของกลุ่มทรู คือการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ และค่ายเพลง รองรับการเติบโตของตลาดไทยและโลก
“ถ้าต้องซื้อคอนเทนต์เพียงอย่างเดียว แหล่งผลิตคอนเทนต์มีอยู่ไม่กี่ที่เท่ากับการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ในกลุ่มธุรกิจทรูมีคอนเทนต์ดีๆ จำนวนมากที่ซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตเอง เช่น The Voice ที่ออนแอร์ทางช่อง 3 , AF เรียลริตี้โชว์ที่ยาวนานต่อเนื่องมากว่า 11 ปี”
“ประเทศจีนซื้อลิขสิทธิ์ละครทรูไปออนแอร์ในประเทศ นักแสดงในสังกัดทรู ดังและเติบโตในจีนหลายคน วันนี้ทรูไม่ได้ผลิตคอนเทนต์สำหรับคนไทยเพียง 60 กว่าล้านคนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการนำคอนเทนต์ออกขายทั่วโลก อย่างละครมีการติดต่อจากประเทศจีนซื้อลิขสิทธิ์ไปออนแอร์ อยากให้ทรูเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ไทยที่มีความแข็งแกร่งเหมือนเกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย มีโรงงานผลิตคอนเทนต์ออกจำหน่ายทั่วโลก”
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /

