ดูนิ ไทยแลนด์ ลงทุนรวม 1,000 ล้าน ขยายกำลังการผลิต ดันไทยเป็นฐานการผลิตเอเชีย รับ HoReCa พร้อมส่งออกไปทั่วภูมิภาคเอเชีย
ตลาดกระดาษอเนกประสงค์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่ดีมานด์ของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 ที่มีการเติบโตของเดลิเวอรี ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น ประกอบกับธุรกิจการท่องเที่ยวได้กลับมาเเล้ว ส่งผลให้อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษพุ่งตัวสูง
มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์กระดาษทั่วโลก ในปี 2565 อยู่ที่ 958,800 ล้านดอลลาร์ โดยมีการเติบโตมากในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา โดยที่เอเชียแปซิฟิก เป็นตลาดใหญ่ของผลิตภัณฑ์กระดาษ
ประวิทย์ เตชะวิจิตร์ กรรมการผู้จัดการ (CEO) บริษัท ดูนิ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ดูนิเข้ามาในไทยปี 2016 ในชื่อดูนิโฮลดิ้ง จากการเทกโอเวอร์เทอริเนกซ์สยาม เพื่อสร้างไทยเป็น Hub การผลิตแหล่งที่สามของโลก จากเดิมที่มีโรงงานอยู่เพียงในเเถบยุโรปสองเเห่ง
เนื่องจากเล็งเห็น Emerging Markets เเละไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่ง เหมาะกับการตั้งฐานการผลิต เเละเป็น Commercial Hub ประจำตลาดเอเชียของดูนิ ซึ่งตลาด HoReCa (Hotels Restaurants & Catering) ในไทยมีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งการบริโภคภายในประเทศสูง เหมาะกับการตั้งฐานธุรกิจ
อ้างอิงจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีโรงแรมจำนวน 24,400 แห่งทั่วประเทศ ในจำนวนนี้เป็นโรงแรมสี่ดาวซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของดูนิ ประมาณ 3,660 แห่ง หรือคิดเป็น 15%
อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค จากรายงานของ TTB Analytics กลุ่มธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร มีจำนวนถึง 32,300 แห่ง โดยเป็นร้านระดับกลางและระดับบน ขณะที่ธุรกิจจัดเลี้ยงคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดที่ 850 ล้านบาทเช่นกัน
ในปีนี้ ดูนิจึงทุ่มเงินลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่โรงงาน รองรับความต้องการของ Emerging Markets ในกลุ่มชนชั้นกลางของแต่ละประเทศ ที่มีวัฒนธรรมการรับประทานอาหารแบบพิถีพิถันขยายไปในวงกว้าง ความต้องการสินค้าพรีเมียมจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาด HoReCa โดยรวมโต 8-10% ในช่วงที่ผ่านมา
ดูนิ ไทยแลนด์ ได้ใช้งบลงทุนสะสมรวม 1,000 ล้านบาท จากที่ลงทุนขั้นต้นไปในปี 2559 มูลค่า 720 ล้านบาท เเละเพิ่มงบการลงทุนเพื่อขยายพื้นที่และกำลังการผลิตอีก 300 ล้านบาท แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 เฟส เฟสแรก มูลค่า 190 ล้านบาท ต่อด้วยเฟสสองในปีหน้าอีก 110 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท
เพื่อขยายกำลังการผลิตจาก 4,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 6,000-8,000 ตันต่อปี
ทั้งนี้ การใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและจำหน่ายให้ทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชีย เป็นไปตาม Business Model ที่ทำสำเร็จมาแล้วในยุโรป
สินค้าของดูนิ เเบ่งเป็น 3 คอนเซ็ปต์ ตามจุดประสงค์การใช้งาน เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
-กลุ่มสินค้า Go การใช้งานแบบสะดวกราคาไม่สูง เช่น napkins ที่ใช้ในร้านอาหารแบบรับประทานสบาย ๆ สไตล์คาเฟ่
-กลุ่มสินค้า Joy เน้นความสวยงาม สนุกสนานสร้างอารมณ์และบรรยากาศที่ดีของงานเลี้ยงในกลุ่มครอบครัวและเพื่อนฝูง
-กลุ่มสินค้า Wow เน้นความหรูหรา ให้ความรู้สึก Luxury เหมาะกับ Fine Dining และร้านที่ให้ความสำคัญกับบรรยากาศร้าน และดีไซน์
ซึ่งทั้งหมดเป็นเนื้อกระดาษคุณภาพเกรดพรีเมียม มีความพิเศษที่สามารถพิมพ์ลายหรือเพิ่มข้อความ
สร้างแบรนด์ให้กับลูกค้า B2B ได้ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงเเรมสามารถใช้เเทนผ้าลินินบนโต๊ะอาหารได้ ลดต้นทุนการส่งซัก ประหยัดเวลา
โดยที่บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่ม B2B เป็นหลัก เพราะลูกค้ามากกว่า 95% ของดูนิคือ B2B ในกลุ่ม Horeca พร้อมกันนี้จะขยายกลุ่มสินค้าแพ็กเล็กไปในช่องทางโมเดิร์นเทรด
ขณะที่การจำหน่ายในต่างประเทศจะใช้เครือข่ายของ ดูนิ เอบี บริษัทแม่ จำหน่ายผ่านตัวเเทนเเต่ละพื้นที่ ซึ่งบริษัทได้ส่งออกไปยังประเทศโดยรอบของไทย กลุ่มอาเซียนยกเว้นอินโดนีเซีย บังกลาเทศ มัลดีฟส์ ชิลี เม็กซิโก อาร์เจนตินา
ซึ่งประเทศต่อไปที่จะเข้าไปทำตลาด คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย โดยเฉพาะในอินเดีย ที่มีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก อีกทั้งมีการจัดงานแต่งงานต่อปีมากถึง 3 ล้านงาน เป็นโอกาสของการทำตลาดกระดาษเช็ดปาก ซึ่งบริษัทได้ร่วมกับ distributor ลุยทำตลาดไปแล้วในบางเมือง
ทั้งนี้ สินค้าได้รับการรับรองเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับการทำปุ๋ยหมัก ตามมาตรฐานยุโรป เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นวัสดุหมุนเวียน 90% อีกทั้งช่วยลดการปล่อยฝุ่นควัน เเละสินค้ามาจากป่าไม้ที่ได้รับการปลูกทดแทน
อย่างไรก็ตาม จากการซื้อที่ดินเพิ่มเท่าตัวในส่วนของโรงงานไทย เพื่อขยายการผลิต เนื่องจากในอนาคต อาจมีการลดการผลิตในนิวซีเเลนด์ มาเพิ่มน้ำหนักในไทยเป็นหลัก เพื่อเป็นฐานการผลิตใหญ่เเละส่งออกทั่วเอเชีย เเละจากการขยายการผลิต คาดว่ารายได้ภายในสามปีจะสามารถทะยานสู่หลักพันล้านบาทได้ จากที่ปีล่าสุดอยู่ที่ 400 ล้านบาท
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline
