หนุ่มสาวชาวจีนหลายหมื่นโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียประมาณว่า “พวกเขากำลังจะละทิ้งทุกอย่างและหันกลับไปซบอกพ่อแม่ที่บ้านเพราะไม่สามารถหางานทำได้”  เรื่องนี้กำลังเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ที่จีนเพราะด้วยเศรษฐกิจที่ซบเซา การลงทุนภาคเอกชนที่ลดน้อยถอยลง และการแข่งขันของคนในวัยเดียวกันที่ต้องการหางานทำก็สูงขึ้นมาก ทำให้คนที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงานที่จีน ถอดใจและเลิกไขว่คว้าหาความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยพวกเขาหลายคนตัดสินใจกลับไปขอเงินพ่อแม่ใช้แลกกับการทำหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ้าน เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรน่าติดตาม

เศรษฐกิจจีนหลังโควิด

 จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics: NBS) เปิดเผยว่า GDP ของจีนในไตรมาสที่ 2 อยู่ 6.3% เติบโตเพียง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2023 ซึ่งตัวเลขการเติบโตที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เติบโต 2.2% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2023 เทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2022

เหตุผลการชะลอตัวของตัวเลขการเติบโตของ GDP นักวิเคราะห์ของ CNN คาดการณ์ว่าจะเป็นผลมาจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของประชาชนชาวจีนอย่างชัดเจน รวมไปถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่สั่นคลอน เป็นสัญญาณที่ตอกย้ำว่าจีนอาจจะเสียโมเมนตัมในการเติบโตของเศรษฐกิจไปแล้วหรือไม่

Harry Murphy Cruise นักเศรษฐศาสตร์ของ Moody’s Analytics ชี้ว่า “ผลกระทบจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid) ยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าในช่วงต้นปี (2023) จีนจะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายตัวก็ตาม”

จริงอย่างที่ Cruise บอก จากการค้นหาข้อมูลพบว่าในช่วงต้นปี 2023 จีนได้ใช้นโยบายทางเศรษฐกิจหลายประการเพื่อหวังกระตุ้นการเติบโตของ GDP ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลจีนตั้งใจไว้ที่ว่าสิ้นปี 2023 GDP ของจีนจะต้อง +5% เมื่อเทียบกับปี 2022 โดยนโยบายดังกล่าว ประกอบไปด้วย

 

  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารประชาชนจีน (PBOC) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2566 ในเดือนมกราคมและเมษายน สิ่งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ธุรกิจกู้ยืมเงินและลงทุนมีราคาถูกลง
  • การอัดฉีดสภาพคล่อง ธนาคารกลางยังได้ปล่อยสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการให้กู้ยืมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนการลงทุนจำนวนมากในโครงสร้างพื้นฐานในปี 2023 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างงานและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • การลดหย่อนภาษี รัฐบาลจีนได้มีการลดภาษีสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไปเป้าหมายอยู่ที่การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน

ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผลเพราะหลังจากมีมาตรการดังกล่าวออกไปตัวเลข GDP ของจีนก็เติบโตขึ้นที่ 4.5% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่อัตราการเติบโตก็ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แถมในไตรมาสที่ 2 การเติบโตก็ดูเหมือนจะลดลง

ความกังวลหลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขการเติบโตของ GDP ในตอนนี้คือคำถามที่ว่า “เมื่อจีนรู้ว่าการเติบโตชะลอตัวลง จีนจะมีวิธีในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร” สิ่งนี้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลกรวมไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ Janet Yellen

Yellen บอกว่า “จีนเป็นประเทศผู้นำสินค้าที่สำคัญของโลก พวกเขานำเข้าสินค้าจากหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น เมื่อการเติบโตของจีนชะลอตัวลงย่อมจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของหลาย ๆ ประเทศ และเรากำลังจะได้เห็นผลกระทบนั้นในไม่ช้า”

ความท้าทายทางเศรษฐกิจ 4 เรื่องที่จีนต้องเผชิญ

เรื่องแรก ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน แสดงให้เห็นว่ายอดขายในหมวดอุตสาหกรรมค้าปลีกเติบโตขึ้น 3.1% ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เหมือนจะเติบโต แต่ก็ยังต่ำกว่าตัวเลขของเดือนพฤษภาคมที่อยู่ที่ 12.7% เป็นอย่างมาก ถือเป็นการชะลอตัวการเติบโตที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2022 เมื่อรัฐบาลจีนยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด

เรื่องที่สอง ภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจและแหล่งจ้างงานที่ใหญ่ที่สุดลังเลที่จะจ้างหรือลงทุนใหม่

อย่างเช่น การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น ถนนและโครงสร้างพื้นฐานจากภาคเอกชนหดตัวลง 0.2% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในทางตรงกันข้าม การลงทุนของภาครัฐกลับเพิ่มขึ้นถึง 8.1% ในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนปี 2023

เรื่องที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวเลขการหดตัวลงของการลงทุนภาคเอกชนนี่เองที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของตัวเลขการว่างงานคนรุ่นใหม่ชาวจีนซึ่งพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอัตราว่างงานของผู้ที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี แตะระดับ 21.3% ในเดือนมิถุนายน ทำลายสถิติเดิมที่ 20.8% ในเดือนพฤษภาคม นั่นแปลว่ามีคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น

ด้าน Fu Linghui โฆษกของ NBS กล่าวว่า “NBS คาดว่าอัตราการว่างงานของกลุ่มคนที่มีอายุในช่วง 16-24 ปี อาจเพิ่มขึ้นอีกก่อนที่จะค่อย ๆลดลงหลังจากเดือนสิงหาคม เพราะนักศึกษาจำนวนมากและผู้หางานที่อายุน้อยจะเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงจบการศึกษา”

เรื่องที่สาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงจมอยู่ในภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์ การลงทุนในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ -7.9% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ แถมดีมานต์ความต้องการยังอ่อนแอด้วยยอดขายที่ลดลง -5.3% ในแง่ของพื้นที่อยู่อาศัย

เรื่องที่สี่ เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาได้เพิ่มความยากลำบากให้กับจีนไม่น้อย จากตัวเลขของกรมศุลกากรของจีนที่เปิดเผยเมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า ตัวเลขการส่งออกในเดือนมิถุนายนลดลง 12.4% ซึ่งลดลงในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 3 ปี และการนำเข้าก็ยังลดลง 6.8% ซึ่งเป็นตัวเลขที่แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้

 Full-Time Children

ในหัวข้อที่แล้วจะเห็นว่าหนึ่งในประเด็นปัญหาความท้าทายด้านเศรษฐกิจที่จีนจะต้องเผชิญก็คือตัวเลขการว่างงานของกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงอายุ 16-24 ปี มีแนวโน้มขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งแรงงานที่กำลังจบการศึกษาก็จะเข้าสู่ตลาดแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสวนทางกับการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังลังเลว่าจะลงทุนเพิ่มหรือไม่อย่างไร เพราะยังไม่แน่ใจกับทิศทางของเศรษฐกิจจีน และยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจีนจะใช้นโยบายอะไรในการแก้ปัญหาเรื่องการชะลอตัวของการบริโภคของประชาชน

ดังนั้น คำว่า Full-Time Children จึงได้กลายเป็น Buzzword หรือคำที่นิยมพูดกันในหมู่นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ พวกเขาเริ่มนิยามอาชีพใหม่ของหนุ่มสาววัยตั้งแต่ 16-24 ปี (กลุ่มตัวเลขเดียวกับคนว่างงาน) ที่มีพฤติกรรมต่อต้านสังคมและการแข่งขันที่มีความกดดันจากสังคมที่สูง หลายคนเลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองใหญ่กลับสู่บ้านเกิดเพื่อที่จะไปพึ่งพาอาศัยอยู่กับพ่อแม่และขอเงินพ่อแม่ใช้แลกกับการทำงานที่บ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การดูแลผู้สูงอายุในบ้าน ทำความสะอาดบ้าน หรือบางบ้านมีร้านขายของลูกก็กลับมาก็ช่วยดูแลร้านแลกกับเงินเดือนที่พ่อแม่ให้

ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็ได้เกิดกระแสการ “Lying Flat” หรือ การนอนราบ หรือที่จีนเรียกว่า “Tang Ping” (อ่านว่า ถ่างผิง) พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นในหมู่วัยรุ่นจีน Lying Flat เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงภาวะที่คนรุ่นใหม่ที่รู้สึกเหนื่อยหน่ายการที่ต้องพยายามทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จตามขนบของสังคมดั้งเดิม พวกเขาอยากแค่ใช้ชีวิตแบบเอาแค่พอดี เอาแค่พอกิน ไร้ความทะเยอทะยาน หรือบางคนก็ไม่อยากเรียนจบสูง หรือต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับความสำเร็จในชีวิตที่แสดงออกผ่านการมีทรัพย์สินมากมายอย่างบ้านหรือรถ เรื่องนี้สะท้อนปัญหาของสังคมจีน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความขยัน และอดทนทำงานหนักอย่างเช่นบรรพบุรุษในอดีต

กระแสการหันหลังให้กับความคาดหวังของสังคมและมุ่งหน้ากลับบ้านเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนที่ชื่อว่า Douban มีการสร้างกลุ่มที่มีชื่อว่า “full-time children’s work communication center” และมีสมาชิกกว่า 4,000 คน โดยภายในกลุ่มดังกล่าวมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องชีวิตการทำงานประจำวันในฐานะ “ลูก” แบบฟูลไทม์

คำศัพท์ดังกล่าวแพร่กระจายไปยังแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Xiaohongshu แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ยอดนิยมในหมู่หนุ่มสาวชาวจีน โดยปัจจุบันมีจำนวนโพสต์มากกว่า 40,000 โพสต์ภายใต้แฮชแท็ก “Full-time sons and daughters” หรือ “ลูกชายและลูกสาวเต็มเวลา”

เรื่องนี้เกิดขึ้นในหมู่คนวัย 20+ โดยคนเหล่านี้บอกว่าพวกเขาไม่เหมือนกับพวก “Ken Lao Zu” หรือ “เจเนอเรชันที่กินคนแก่” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในหมู่คนที่เกิดในช่วงปี 1980

กลุ่ม “Ken Lao Zu” ตอนนี้จะมีอายุประมาณ 30 กว่า ๆ ลักษณะของคนเหล่านี้แทบจะตรงข้ามกับ Full-Time Sons and Daughters เลย คือพวกเขาจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและผลักดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ก้าวหน้าในอาชีพการงาน และไม่นิยมทำงานให้กับธุรกิจของครอบครัว ถึงแม้ว่าบางครั้งจะยังขอความช่วยเหลือจากครอบครัวในเรื่องค่าเช่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บ้าง ซึ่งตรงกันข้ามกับอาชีพ “เด็กมืออาชีพ” ที่ในปัจจุบันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่อาศัยกับพ่อแม่และทำงานบ้านเพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเงิน

Litsky Li อดีตเด็กสาววัย 21 ปี ที่เคยใฝ่ฝันอยากเป็นช่างภาพมืออาชีพที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันเธอเป็น Full-Time Children ช่วยงานร้านขายของชำของที่บ้าน บอกว่า “ถ้าคุณมองเราจากมุมมองที่ต่างออกไป เราก็ไม่ต่างจากคนหนุ่มสาวที่มีงานทำ (ทำงานช่วยที่บ้าน)”  Li เป็นอีกคนหนึ่งที่ครอบครัวของเธอสนับสนุนการตัดสินใจถอนตัวจากการแข่งขันและความกดดันทางสังคม

Li เปรียบเทียบว่า ถึงแม้คนรุ่นเธอคนอื่น ๆ จะมีงานทำในเมืองแต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเธอ พวกเขาก็ยังขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ดี “พวกเขาไปทำงานในเมืองและได้รับเงินเดือน 3,000 ถึง 4,000 หยวน (ประมาณ 15,000 ถึง 20,000 บาท) แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย พวกเขายังคงกินข้าวที่บ้านพ่อแม่ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ หรือให้พ่อแม่จ่ายค่าอพาร์ตเมนต์หรือค่างวดรถให้ ค่าครองชีพของพวกเขาก็มีพ่อแม่คอยจ่ายให้บางส่วน”

นักสังคมวิทยากล่าวว่า ประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของจีนจากมาตรการการแพร่ระบาดที่เข้มงวด มีส่วนทำให้เยาวชนจำนวนไม่น้อยกลับมานั่งทบทวนเป้าหมายในชีวิตของตนเองใหม่อีกครั้ง และพ่อแม่ก็ยังสนับสนุนแนวคิดของพวกเขาเสียด้วย

Fang Xu อาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์กล่าวว่า “ในด้านสภาวะจิตใจและจิตวิทยา ผู้คนในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงอยู่ในช่วงค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของโควิด”

เธอเชื่อว่าความต้องการที่อยากจะใช้เวลาอย่างมีคุณภาพกับคนที่รัก การครุ่นคิดเกี่ยวกับความหมายของชีวิตหรือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตยังคงเป็นไปอย่างช้า ๆ

Zhang Dandan รองศาสตราจารย์แห่ง Peking University ได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นให้กับสำนักข่าว Caixin ว่า หากนับรวมคนหนุ่มสาวกว่า 16 ล้านคนที่ออกมาประชดชีวิตด้วยการ “Lying Flat” หรือ “นอนอยู่เฉย ๆ” อยู่ที่บ้านหรือพึ่งพาพ่อแม่เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่กระตือรือร้นที่จะหางาน อัตราการว่างงานที่แท้จริงของคนรุ่นใหม่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอาจสูงถึง 46.5%

การแข่งขันสูง+โอกาสที่น้อยลงทำวัยรุ่นจีนท้อแท้

เทรนด์การเติบโตของอาชีพ “ฟูลไทม์ลูกของพ่อแม่” เป็นหนึ่งในสัญญาณที่บอกว่าคนรุ่นใหม่กำลังเผชิญกับโอกาสทางเศรษฐกิจที่ริบหรี่ลงจากเดิมมาก ต่างจากเมื่อก่อนที่จีนเป็นดั่งพญามังกรผู้ท้าชิงเบอร์ 1 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก กลายเป็นมาพังเพราะนโยบายปราบปรามโควิด นอกจากนี้ การที่พ่อแม่เองก็ไม่ได้ต่อต้านลูก ๆ ในการกลับสู่อ้อมอก ก็ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนตัดสินใจหันหลังให้กับการแข่งขันเพื่อความก้าวหน้า

อย่าง Nancy Chen ซึ่งปัจจุบันเป็น “ลูกสาวเต็มเวลา” ในแถบตะวันออกของเจียงซี Jiangxi เธอบอกว่าเธอได้รับผลกระทบจากนโยบายการปราบปรามสถาบันกวดวิชาที่แสวงหาผลกำไรของภาครัฐก่อนหน้านี้ เนื่องจากเธอเคยเป็นอดีตติวเตอร์ของสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งแต่ต้องมาตกงานตอนอายุ 24 เพราะนโยบายนี้

นอกจากนี้ ด้วยความที่เธอเป็นลูกสาวผู้เป็นความหวังของครอบครัว ทางบ้านค่อนข้างผลักดันให้เธอไปสอบเป็นข้าราชการ เธอก็ไม่อยากทำให้ที่บ้านผิดหวัง และตระเวนสอบมาแล้วหลายที่ แต่ยังสอบไม่ติดที่ใดเลย เธอบอกว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันในการสอบที่สูงมาก อย่างเช่นบางตำแหน่งมีผู้สมัครสอบมากถึง 30,000 คน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอคงจะไม่ได้เป็นทำอาชีพลูกเต็มเวลา ไปตลอดเพราะเธอตั้งใจว่าสักวันเธอต้องสอบให้ผ่าน ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องเผชิญกับความเครียดที่ต้องอยู่เกาะพ่อแม่กินแบบนี้แน่ ๆ

 

ยังไม่มีทางออกให้กับปัญหานี้

 Ya-wen Lei ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คาดว่าปรากฏการณ์ Full-Time Children จะอยู่ได้ไม่นาน

“การสนับสนุนที่พวกเขาได้รับจากพ่อแม่ในบริบทสังคมจีนในตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ เพราะพ่อแม่ชาวจีนจำนวนมากช่วยเหลือลูกในด้านต่าง ๆ อยู่แล้ว เช่น ช่วยจ่ายค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน และการดูแลหลาน” พร้อมเสริมว่าคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะได้งานทำในที่สุด

George Magnus ผู้ร่วมวิจัยจาก China Center ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและ SOAS University of London บอกว่า

“นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลสำหรับปัญหาเรื่องการว่างงานในจีน ถ้าในระยะสั้นที่ทำเพื่อให้พวกเขามีที่อยู่ มีงานทำ และมีรายได้แบบพอดิบพอดี ก็พอได้”

“แต่ถ้าหากคนหนุ่มสาวไม่ได้อยู่ในตลาดแรงงานที่ต้องมีการพัฒนาทักษะและมองหาโอกาสที่ดีกว่าเป็นเวลานานพวกเขาก็อาจกลายเป็นคนว่างงานถาวรได้ เพราะพวกเขาตกงานมานานเกินไปจนไม่สามารถรักษาทักษะและความรู้ที่ร่ำเรียนมาเอาไว้ได้ เรื่องนี้อาจทำให้เกิดภาวะการโยกย้ายถิ่นฐานในระยะสั้นในตลาดแรงงาน แต่ถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องนี้ก็อาจกลายเป็นเรื่องถาวรก็ได้”

 

 อ้างอิง

https://edition.cnn.com/2023/07/26/economy/china-youth-unemployment-intl-hnk/index.html

https://edition.cnn.com/2023/07/16/economy/china-economy-q2-gdp-intl-hnk/index.html

https://tradingeconomics.com/china/indicators


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer