เมื่อปลายปีที่แล้วเราเพิ่งเขียนถึง CZ หรือ Changpeng Zhao ที่นำพา Binance ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและทำรายได้นับพันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน มาวันนี้เขาเพิ่งประกาศลาออกจากการเป็นผู้บริหารของ Binance เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ของสหรัฐอเมริกา ที่ชี้มูลความผิดต่อ Binance ในการกระทำผิดกฎหมายต่อต้านการฟอกเงิน การให้บริการโดยไม่มีใบอนุญาต การละเมิดพระราชบัญญัติความลับของธนาคาร และไม่มีกระบวนการตรวจสอบผู้ซื้อขายบนแพลตฟอร์มตามกฎหมายกำกับดูแล
ซึ่งข้อกล่าวหาในประเด็นหลังนี้ บริษัทฯ ยอมรับว่า ได้อนุญาตให้กลุ่มฮามาสและกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ ทำธุรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีบนแพลตฟอร์มของ Binance จริง ซึ่งเป็นการจงใจละเมิดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าเขาโดนทั้งโทษปรับและคาดโทษสูงสุดถึงจำคุก โดยตามรายงานของ Forbes รายงานว่า Binance ยอมที่จะจ่ายเงินค่าปรับเป็นมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลาง ได้ตกลงที่จะจ่าย และรวมไปถึง CZ หนึ่งในบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในโลกคริปโต ต้องลาออกจากตำแหน่ง ซีอีโอ จากบริษัทแลกเปลี่ยนที่เขาก่อตั้งขึ้น
และถ้า ก.ล.ต. ยื่นฟ้องคดีต่อศาลก็มีแนวโน้มว่า CZ อาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี แม้ว่าโทษจำคุกสุดท้ายจริงของเขาน่าจะต่ำกว่านี้มาก ซึ่งหลักเกณฑ์ของรัฐบาลกลางมีแนวโน้มที่จะกำหนดโทษจำคุกสูงสุดสำหรับ CZ อยู่ที่ประมาณ 18 เดือน หากการพิจารณาคดีถึงที่สุด
ดังนั้น เพื่อหาทางออกให้กับเรื่องนี้ CZ ยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของอัยการว่าเขาต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากค่าปรับทางอาญาแล้ว CZ จะจ่ายค่าปรับทางแพ่งอีก 150 ล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ Commodity Futures Trading Commission คำสั่งยินยอมที่เสนอยังกำหนดให้ Binance ต้องคืนกำไรที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องเป็นจำนวนกว่า 1.35 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงต้องจ่ายค่าปรับทางแพ่งจำนวน 1.35 พันล้านดอลลาร์ให้กับ CFTC รวม ๆ แล้ว Binance โดนค่าปรับไปอ่วม ๆ กว่า 4 พันล้านดอลลาร์
Changpeng Zhao CEO of Binance: CNN
Binance ที่ไม่มี CZ เปรียบเสมือนเรือที่ไม่มีกัปตันคอยคุมทิศทางของเรือ เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าจะให้เปรียบก็ต้องบอกว่า CZ คือเสาหลักแห่งความเชื่อมั่นที่บรรดานักลงทุนน้อยใหญ่ให้ความเชื่อถือ มิเช่นนั้น Binance คงไม่เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ในบทความนี้เราอยากชวนคุณมาลองจินตนาการถึงโลกคริปโตที่ไม่มี CZ ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เราก็เคยมีตัวเทพดาวรุ่งแห่งวงการคริปโตอย่าง Do Kwon อดีต CEO ของ Terraformlab และเหรียญที่โด่งดังมากในตอนนั้นอย่าง Luna ที่สร้างปรากฏการณ์ ICO (ระดุมทุนออกเหรียญ) ได้มากจนเกิดกระแสไฮป์ และสุดท้ายจบที่หอบเงินนักลงทุนหายวับและถูกจับกุมในที่สุด คงจะเกิดคำถามมากมายว่าแล้วหลังจากนี้วงการคริปโตจะเป็นอย่างไรต่อไป สินทรัพย์ดิจิทัลประเภทนี้ยังมีความน่าเชื่อถือให้นักลงทุน “ลงทุน” อยู่หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่การ “เก็งกำไร” เอาส่วนต่างจากกระแสความนิยมเท่านั้น
จุดเริ่มต้นแมวจับหนู
Merrick Garland อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ แถลงข่าวร่วมกับ Janet Yellen รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และ Rostin Behnam ประธานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อประกาศการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrency ณ กระทรวงยุติธรรมในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. : CNN
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) เริ่มเข้มงวดกับแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินคริปโตมาตั้งแต่ปี 2020 โดยเริ่มจากการสั่งห้ามการซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital token) ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ กำหนด เช่น โทเคนดิจิทัลที่เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาต (Unregistered securities offering) หรือโทเคนดิจิทัลที่เป็นการฉ้อโกง (fraudulent securities offering)
ปี 2021 ก.ล.ต. สหรัฐฯ เพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามแพลตฟอร์มคริปโตโดยสั่งฟ้องร้องคดีฉ้อโกงเงินของนักลงทุนจากเว็บคริปโตหลายคดี รวมถึงคดีของ Ruja Ignatova ผู้ก่อตั้งบริษัทวันคอยน์ (OneCoin) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าหลอกลวงนักลงทุนให้สูญเงินไปหลายพันล้านดอลลาร์
ปี 2022 ก.ล.ต. ได้ออกแนวทางปฏิบัติสำหรับคริปโตเทรดดิ้งแพลตฟอร์ม ซึ่งกำหนดให้ Crypto Exchange ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎระเบียบเรื่องการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure requirements) กฎระเบียบเรื่องการป้องกันการฉ้อโกง (Anti-fraud regulations) และกฎระเบียบเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer protection regulations)
นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อนักลงทุนจากในคริปโทเคอร์เรนซี เช่น ความเสี่ยงจากการถูกฉ้อโกง ความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินลงทุน และความเสี่ยงจากการขาดการคุ้มครองจากหน่วยงานกำกับดูแล ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทางการสหรัฐฯ พูดถึงตลอดมานับตั้งแต่การขึ้นมาเรืองอำนาจของแพลตฟอร์มเทรดดิ้งคริปโต
ยกตัวอย่างเรื่องราวที่ซีอีโอที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเรียกได้ว่า เชิดเงินนักลงทุน เกิดขึ้นและมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งมักเกิดขึ้นในรูปแบบของการหลอกลวงหรือฉ้อโกงต่าง ๆ
Do Kwon อดีตซีอีโอ Terra: Coinscreed
Do Kwon ซีอีโอของ Terraform Labs เจ้าของเหรียญ TerraUSD (UST) และ Luna ที่ถูกเทขายอย่างหนักจนมูลค่าเหลือศูนย์ในเดือนพฤษภาคม 2023 ส่งผลให้นักลงทุนสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก สาเหตุของการล่มสลายของ TerraUSD นั้น สันนิษฐานว่าเกิดจาก Do Kwon ผู้บริหาร Terraform Labs ที่ใช้กลยุทธ์การันตีผลตอบแทนจากการฝากสินทรัพย์ดิจิทัลที่ Anchor Protocol โดยกลไกการจ่ายผลตอบแทนของ Anchor Protocol นั้น อาศัยการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างผู้ฝากและผู้กู้ โดยผู้ฝากจะฝากสินทรัพย์ดิจิทัลของตนไว้ใน Anchor Protocol ซึ่ง Anchor Protocol จะนำไปปล่อยกู้ให้กับผู้กู้ที่ต้องการใช้เงิน โดยผู้กู้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับ Anchor Protocol ซึ่งดอกเบี้ยนี้จะถูกนำไปจ่ายให้กับผู้ฝาก
ในช่วงแรก Anchor Protocol ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากผลตอบแทนที่สูงทำให้นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาฝากสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ใน Anchor Protocol ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลจาก Anchor Protocol เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม กลไกการจ่ายผลตอบแทนของ Anchor Protocol นั้น ไม่สามารถยั่งยืนได้ในระยะยาว เนื่องจาก Anchor Protocol ไม่มีสินทรัพย์เพียงพอที่จะรองรับการจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ฝาก หากผู้กู้เริ่มเทขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่กู้ยืมจาก Anchor Protocol เป็นจำนวนมาก จะทำให้ Anchor Protocol ขาดสภาพคล่องในการจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ฝาก ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ฝากไว้ใน Anchor Protocol ร่วงลงอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในเดือนพฤษภาคม 2023 เมื่อราคาของเหรียญ TerraUSD (UST) ซึ่งเป็น Stablecoin ของ Terra ลดลงต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ผู้กู้เริ่มเทขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่กู้ยืมจาก Anchor Protocol เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ Anchor Protocol ขาดสภาพคล่องในการจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ฝาก ซึ่งส่งผลให้ราคาของเหรียญ TerraUSD และเหรียญ Luna ร่วงลงอย่างรวดเร็วจนมูลค่าเหลือศูนย์ การล่มสลายของ TerraUSD และ Luna นั้น ส่งผลให้นักลงทุนสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก และทำให้ผู้คนจำนวนมากสูญเสียความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี
Sam Bankman-Fried ซีอีโอของ FTX: Daily Beast
Sam Bankman-Fried ซีอีโอของ FTX แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ของโลก ที่ถูกสอบสวนโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐอเมริกา ฐานอาจมีการซื้อขายหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับการจดทะเบียน โดย ก.ล.ต. อ้างว่า FTX ได้เสนอขายโทเคน FTT ให้กับนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากข้อกล่าวหาของ SEC เป็นจริง จะทำให้ FTX ผิดกฎหมายและอาจถูกสั่งปรับหรือดำเนินคดีได้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอื้อฉาวอื่น ๆ อีกมากมายเกี่ยวข้องกับคริปโตที่มีการเชิดเงินนักลงทุน เช่น
Charles Hoskinson ซีอีโอของ Cardano ถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของบริษัทไปลงทุนในโครงการส่วนตัว
Justin Sun ซีอีโอของ Tron ถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของบริษัทไปจ่ายค่าโฆษณาเพื่อโปรโมตเหรียญ Tron
Ruja Ignatova ซีอีโอของ OneCoin หายตัวไปพร้อมกับเงินของนักลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีนั้น มีความเสี่ยงสูง ก.ล.ต. จึงมองว่า Crypto Exchange เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการฉ้อโกง เนื่องจากไม่มีกฎระเบียบกำกับดูแลที่ชัดเจน และนักลงทุนมักไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีเพียงพอ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่าย
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดการเงินโดยรวมด้วย จากการที่แพลตฟอร์มบางที่ใช้วิธีการระดมทุนแบบแชร์ลูกโซ่ (Pyramid scheme) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่อระบบนิเวศการเงินได้
ทำไม ก.ล.ต. สหรัฐฯ เข้มงวดกับแพลตฟอร์มเทรดคริปโตแล้วสำคัญอย่างไรต่อเทรดเดอร์
ข้อมูลจากเว็บไซต์ The Conversation ระบุว่า การฟ้องร้องของ ก.ล.ต. ต่อ Binance และ Coinbase นั้นเป็นการมุ่งเน้นไปที่ “หัวใจ” ของอุตสาหกรรมคริปโตนั่นก็คือ “ตัวกลาง” ตัวกลางในที่นี้ก็คือแพลตฟอร์มซื้อขายหรือการแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้คนซื้อขาย แทนที่จะเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลหรือโทเคนแต่ละราย แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อและขายคริปโทเคอร์เรนซี ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านบล็อกเชน หรือความรู้เรื่องความเสี่ยงใด นั่นแปลว่าผู้คนจะมองถึงแค่ผลตอบแทนที่ตัวเองจะได้นั่นทำให้ผู้ที่มีความเข้าใจอาจหลอกลวงคนที่ไม่รู้ได้ แต่โดยสาระสำคัญแล้ว ก.ล.ต. สหรัฐฯ มีความกังวลใน 3 เรื่องหลัก
- ความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเงิน
ตลาดคริปโตเป็นตลาดที่ผันผวนสูง และมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนจะสูญเสียเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดฟองสบู่แตก หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกาจึงกังวลว่าตลาดคริปโตอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศได้
- การเพิ่มขึ้นของการฉ้อโกง
คริปโตเป็นสินทรัพย์ที่สามารถใช้เพื่ออำพรางธุรกรรมที่ผิดกฎหมายได้ เช่น การฟอกเงิน การฉ้อโกง และการหลบเลี่ยงภาษี หน่วยงานกำกับดูแลจึงพยายามปราบปรามการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อปกป้องผู้บริโภค
- การแข่งขันจากแพลตฟอร์มคริปโตสัญชาติจีน
แพลตฟอร์มคริปโตสัญชาติจีน เช่น Binance และ Huobi ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดคริปโตในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานกำกับดูแลจึงพยายามปกป้องแพลตฟอร์มคริปโตสัญชาติอเมริกันจากการถูกแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด
หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกาได้ดำเนินการปราบปรามแพลตฟอร์มเทรดคริปโตในหลายรูปแบบ เช่น การออกกฎระเบียบ การฟ้องร้อง และการสั่งปิดแพลตฟอร์ม ส่งผลให้มีแพลตฟอร์มเทรดคริปโตจำนวนมากต้องปิดตัวลงหรือลดการให้บริการในสหรัฐอเมริกา
ปี 2021 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาได้ยื่นฟ้อง Binance ฐานดำเนินธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต
ปี 2022 ก.ล.ต. ได้ยื่นฟ้อง Coinbase โทษฐานโฆษณาผลิตภัณฑ์คริปโตอย่างไม่ถูกต้อง
ปี 2023 หน่วยงานควบคุมทางการเงินในสหรัฐฯ เริ่มมีการบังคับใช้มาตรการในการควบคุมแพลตฟอร์มเทรดคริปโต
การปราบปรามแพลตฟอร์มเทรดคริปโตในสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตโดยรวม ทำให้ราคาคริปโตลดลงและปริมาณการซื้อขายลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าการปราบปรามนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อตลาดคริปโตในระยะยาว เนื่องจากจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยให้กับตลาดคริปโต
ถ้า ก.ล.ต. สหรัฐฯ บล็อกแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ
U.S. SEC: CNBC
ข้อมูลจาก The Conversation ยังระบุอีกว่า จากงานวิจัยบ่งบอกว่าผู้คนประมาณ 17% (ในสหรัฐอเมริกาซื้อขาย ลงทุน หรือใช้สกุลเงินดิจิทัล (เป็นสัดส่วนที่มากพอสมควร) หากการปราบปรามโดยหน่วยงานกำกับดูแลตัดการเข้าถึง คนเหล่านี้ก็น่าจะหันไปเทรดในแพลตฟอร์มที่สามารถเทรดได้จากรูปแบบอื่น ๆ เช่น แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ในประเทศอื่น ๆ การแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ หรือวิธีอื่นในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล
แต่หน่วยงานกำกับดูแลในตลาดการเงินในประเทศอื่น ๆ ก็อาจสามารถปฏิบัติตามแนวทางของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ได้ อย่างเช่นหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของสหราชอาณาจักรก็เพิ่งประกาศกฎระเบียบใหม่สำหรับบริษัทสกุลเงินดิจิทัลที่ดำเนินงานในสหราชอาณาจักร อย่างมาตรการที่นักลงทุนต้องมั่นใจว่าทราบถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดหากตัดสินใจจะเทรดกับแพลตฟอร์มนี้จริง ๆ รวมไปถึงการโฆษณาของแพลตฟอร์มต้องมีความชัดเจนและไม่ทำให้เข้าใจผิด รวมถึงการห้ามไม่ให้แพลตฟอร์มใช้ทริคว่าจะแจกเงินแลกกับการ “แนะนำเพื่อนให้มาเทรดบนแพลตฟอร์มของตน” ซึ่งกฎที่กล่าวถึงนี้จะส่งผลต่อการตลาดสกุลเงินดิจิทัลแค่ในสหราชอาณาจักรเท่านั้น ก็นับว่ายังอยู่ในวงแคบอยู่พอสมควรเพราะก็ยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่นักลงทุนนิยมเทรดคริปโตกันอย่างจริงจัง
นี่แค่เริ่มต้น!
สำนักข่าวต่างประเทศโดยเฉพาะสื่อที่เชื่อถือได้อย่าง CNN Business พูดถึงประเด็นที่ว่า แถลงการณ์ฟ้องร้อง Binance และ Coinbase ซึ่งถือว่าร้ายแรงและเล่นเอา Binance ถึงกับเสียหลัก “หนักมาก” นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะในอนาคตอันใกล้ ตัวแทนฝั่งการเงินจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่เมื่อก่อนอาจจะมีแค่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ และกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เท่านั้นที่มักลงมาเทคแอคชั่นปราบปรามอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคริปโต
แต่ในวาระบทใหม่นั้นเหล่าองคาพยพทั้งหมดในฝั่งของการเงินจะลงมาเล่นเรื่องคริปโตอย่างหนักหน่วงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (The Commodity Futures Trading Commission: CFTC) กรมธนารักษ์ หรือแม้แต่ทีมบังคับใช้ กฎหมายเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีแห่งชาติภายใต้การกำกับกระทรวงยุติธรรม ก็จะมาช่วยในการระบุและสืบสวนคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด
นอกจากนี้ จากความพยายามมาหลายปีในการทำคดีและส่งบรรดาผู้มีอำนาจฝั่งคริปโตขึ้นศาลของทั้ง ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง พวกเขามีความเข้าใจและเห็นช่องโหว่ที่จะเล่นงาน คนที่พวกเขามองว่ากระทำการอันเป็นการละเมิดความมั่นคงและปลอดภัยในระบบการเงินและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่แล้ว อยู่ที่่พวกเขาจะคลอดกฎที่เอาไว้ใช้ ครอบตลาดคริปโตได้แบบหมดจดเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
มองในมุมนักลงทุนก็อาจจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝั่งเห็นด้วยก็อาจจะมองว่าดีแล้วที่คนไม่ดีและหวังมาเอาเปรียบจะได้ไม่กล้ากระทำการอันใดที่ทำให้ทรัพย์สินของพวกเขาสูญหาย มองในมุมของผู้เล่นฝั่งที่ไม่เห็นด้วยก็อาจจะมองว่า การที่จะเป็นนักลงทุนคุณต้องรู้จักเรื่องพื้นฐานอย่างความเสี่ยงด้วยตัวเองอยู่แล้ว และเงินที่ลงก็เป็นเงินคุณเอง ดังนั้น การที่มาจำกัดหรือตีวงก็อาจจะทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ได้ เรื่องนี้มองจากมุมไหนก็ถูกหมด อยู่ที่ว่าคุณยืนอยู่ฝั่งไหนแค่นั้นเอง
อ้างอิง
https://www.reuters.com/legal/us-sec-sues-coinbase-over-failure-register-2023-06-06/
https://edition.cnn.com/2023/11/22/business/takeaways-binance-crypto-crackdown/index.html
–
