ลิปสติก คือดัชนีชี้เศรษฐกิจทรุด เมื่อผู้หญิงยอมจ่ายแพงแต้มสวยด้วยแบรนด์หรู
ไม่มีใครอยากเจอกับวิกฤต เพราะผลกระทบที่ตามมาย่อมรุนแรงเลวร้าย และถ้ายิ่งเป็นวิกฤตใหญ่ระดับโลก เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ ผลกระทบที่เกิดก็จะมากมายมหาศาล
หลังเกิดวิกฤตทุกครั้งก็จะมีการถอดบทเรียน ทั้งเรื่องที่มาและผลกระทบ รวมไปถึงสัญญาณบ่งชี้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์และเตือนให้เตรียมตัวเอาไว้ไม่ให้ต้องเจ็บหนักแบบเดิม
ในส่วนของสัญญาณเตือนมีได้หลายรูปแบบ ซึ่งบางครั้งก็มาจากของใช้ใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน แบบที่เราคาดไม่ถึง แถมยังเป็นของเพื่อความสวยความงามที่ถือว่าฟุ่มเฟือยยามวิกฤตอีกด้วย
ทุก ๆ ครั้งที่เศรษฐกิจทรุดใหม่ ๆ ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม สัญญาณบ่งชี้ว่า ขาลงดังกล่าวจะดำเนินต่อไปอีกสักระยะ คือ ผู้หญิงจะหันมาแต่งหน้าทาปากด้วยแบรนด์หรูกันมากขึ้น แต่เป็นไปแบบจำกัด ทั้งด้วยปริมาณและราคา
ส่วนเครื่องสำอางที่ซื้อกันมากสุด คือ ลิปสติก เพราะใช้บ่อยสุด พกพาได้สะดวกสุด และเมื่อใช้แล้วเห็นผลชัดเจนที่สุดนั่นเอง

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า Lipstick Index หรือ Lipstick Effect ที่ผู้หญิงพยายามหาความสุขให้ตัวเองด้วยวิธีที่ง่าย ๆ สุด เร็วสุด และไม่ลำบากจนเกินไป เพื่อแก้เครียด หรือฮีลใจให้ลืมปัญหาเศรษฐกิจ
วิธีที่เห็นผลทันที คือ ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นด้วยการแต่งหน้าทาปาก โดยในทางจิตวิทยา การทำให้ตัวเองดูดีช่วยเรียกคืนความมั่นใจ

นี่ยังสอดคล้องกับธรรมชาติของผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ทั้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองและทำให้ผู้ชายหันมาสนใจ ซึ่งอาจต่อเนื่องไปสู่การได้คู่รักที่จะซื้อของมาปรนเปรอพวกเธออีกที
Lipstick Index ยังรวมไปถึงการซื้อของฟุ่มเฟือยเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้ชายอย่าง เหล้า ไวน์ หรือ Gedget อีกด้วย

ผู้ที่ใช้ Lipstick Index เป็นคนแรกคือ Juliet Schor ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ The Overspent American เมื่อปี 1988

หลังเขาสังเกตเห็นว่าผู้หญิงในสหรัฐฯ ใช้ลิปสติกแบรนด์หรูให้เห็นตามห้องน้ำสาธารณะมากขึ้น ทั้งที่ ณ เวลาดังกล่าวเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังทรุดจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย
ขณะที่ Ethan Chernovsky รองประธานฝ่ายการตลาดของ Placer.ai แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดของอังกฤษ กล่าวเสริมว่า เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ผู้บริโภคจะใช้จ่ายอย่างระวัง ด้วยการไม่ซื้อของใหญ่ราคาแพง เช่น รถยนต์ หรือบ้าน รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ
แต่ขณะเดียวกันก็เห็นว่า สินค้าหรูในราคาเข้าถึงได้ (Little Luxury) เพื่อซื้อความสุขให้ตัวเองนั้นเป็นข้อยกเว้น
ลิปสติก
ถัดมา Lipstick Index ก็ปรากฏให้เห็นอีก เพื่อชี้และย้ำว่า เศรษฐกิจกำลังทรุด ช่วงหลังเหตุวินาศกรรม 911 ปี 2001 และวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ที่กระทบไปทั่วโลกในปี 2008

ขณะที่ช่วงวิกฤตโควิด ที่แม้ผู้หญิงทั่วโลกต้องสวมหน้ากาก แต่พวกเธอก็พากันไปซื้อน้ำหอมแบรนด์หรูขวดเล็ก จนยอดขายน้ำหอมโตขึ้นมากกว่าในสถานการณ์ปกติ

ด้านแบรนด์เครื่องสำอางก็จับสัญญาณ Lipstick Index ทุกครั้งเมื่อเศรษฐกิจทรุดได้ จนมีการออกสินค้าแพ็กเกจเล็กลงมา พร้อมแคมเปญกระตุ้นการขายต่าง ๆ นั่นเอง
ส่วนปี 2024 เศรษฐกิจก็จะทรุดหรือไม่โตมากเท่าที่ควรต่อไปอีกปี โดยสัญญาณบ่งชี้ที่ออกมาก่อนแล้ว คือ ภาวะเงินเฟ้อ และตัวเลขการจ้างงานใหม่ที่ต่ำ
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า ตลาดเครื่องสำอางแพ็กเกจเล็ก จะบูม และ Lipstick Index จะทำงานอีกครั้ง/bbc, forbes
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
