โตชิบาเผยยอดขาย ปี 2566 โตกว่า 14% เตรียมลอนช์ผลิตภัณฑ์ใหม่ปีนี้ 52 รุ่น เจาะ Mid to High เป้ายอดขายทั้งปี ขยายตัวกว่า 20% ขยับมาร์เก็ตแชร์โปรดักต์เพิ่มในทุกเซกเมนต์ ทุ่มงบการตลาดพุ่ง 3 เท่า ดึงฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้หมาก-ปริญ นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ และนำ KOLs สร้างการรับรู้แบรนด์ต่อเนื่อง  

ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าทรงตัว

แต่ Home appliances 7.5 หมื่นล้าน เติบโต 10%

มูลค่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย 2566 260,568 ลบ. (-1%) 44,886 ยูนิต (-6%)
แบ่งตามเซกเมนต์ มูลค่า (ลบ.) ส่วนแบ่งด้านมูลค่า
สมาร์ตโฟน 123,419 (-3%) 47%
แอร์, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า 58,821 (10%) 23%
ดีไวซ์เอนเตอร์เทนเมนต์ต่าง ๆ อาทิ เฮดโฟน, ลำโพง เป็นต้น 28,986 (-6%) 11%
กลุ่มคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่เกี่ยวข้อง 28,618 (-15%) 11%
หม้อหุงข้าว, ไมโครเวฟ, เครื่องดูดฝุ่น และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านขนาดเล็กอื่น ๆ 17,174 (12%) 7%
กล้องดิจิทัล 3,550 (9%) 1%
ตัวเลขใน () = % เติบโตปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565
นับเฉพาะ Home appliances กลุ่มตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, แอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านขนาดเล็ก

มูลค่าตลาด 75,000 ลบ. มาร์เก็ตแชร์ 30% และเติบโต 10% จากปี 2565

ที่มา: บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด, ก.พ. 2567

 

มร. อเล็กซ์ มา รองประธานบริษัท บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 2566 ตามตารางข้างต้น จะพบว่ามีการเติบโต โดยเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม อาทิ สภาพอากาศที่ร้อนจัดในหน้าร้อนปีที่ผ่านมา

ด้าน ผลประกอบการรวมของบริษัท ปี 2566 เติบโตกว่า 14% กลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้สูงสุด ได้แก่ ตู้เย็น อัตราเติบโต 4.3% และเครื่องซักผ้า 16.1% ขณะที่กลุ่มสินค้าอื่น ๆ เช่น ไมโครเวฟ 37.5%, เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก 18.1%, สินค้าเกี่ยวกับน้ำ 14.8% และเครื่องปรับอากาศ 127.6% ตลอดปี 2562-2566 บริษัทสามารถสร้างอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีได้ที่ 11.1%

แผนดำเนินงานสำหรับการเข้าสู่ปีที่ 55 ในไทยของแบรนด์โตชิบา ปี 2567 บริษัทตั้งเป้าเติบโตกว่า 20% และมุ่งขยายส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้

มาร์เก็ตแชร์ ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน

โตชิบา

ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า 2022 2023 เป้า 2024
ตู้เย็น 12.4% (อันดับ 3) 13.4% (อันดับ 3) 15% (อันดับ 2)
เครื่องซักผ้า 6.8% (อันดับ 5) 7.7% (อันดับ 3) 10% (อันดับ 3)
ไมโครเวฟ 20.4% (อันดับ 2) 26.9% (อันดับ 1) 29% (อันดับ 1)
หม้อหุงข้าว 7.9% (อันดับ 1) 8.9% (อันดับ 2) 9% (อันดับ 2)
เครื่องทำน้ำอุ่น 5.7% (อันดับ 6) 5.8% (อันดับ 6) 8% (อันดับ 5)
ตัวเลข % และอันดับใน () = มาร์เก็ตแชร์ในตลาดรวมของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
ที่มา: บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด, ก.พ. 2567

กลยุทธ์ของบริษัทเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายข้างต้น เริ่มจากการเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ 52 รุ่นในปีนี้ โดยเน้นสินค้ากลุ่ม Mid to High เพื่อรองรับดีมานด์ที่มากขึ้นในกลุ่มนี้ และแบ่งไลน์โปรดักต์เป็น เครื่องซักผ้า 15 รุ่น ตู้เย็น 14 รุ่น และกลุ่มคุกกิ้ง ลิฟวิ่ง 13 และ 10 รุ่นตามลำดับ ส่วนพอร์ตผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่บริษัทมีอยู่ปัจจุบัน เป็นตู้เย็น 45% เครื่องซักผ้า 25% และเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็ก 30% ส่วนตลาดแอร์ แม้จะเติบโตได้ดีในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังเป็นพอร์ตที่สร้างการรับรู้รายได้ให้บริษัทในส่วนน้อย เพราะมีสัดส่วนของพอร์ตรวมไม่มาก 

พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดผลิตภัณฑ์หลักที่บริษัทจะโฟกัสปีนี้

เครื่องซักผ้า จากการจัดตั้งทีมลงพื้นที่รีเสิร์ชตลาดของบริษัทพบว่าผู้บริโภคมีความต้องการพื้นฐานในผลิตภัณฑ์อยู่ 4 ข้อ ใช้งานง่าย, ซักสะอาด, แรงดันน้ำเสถียร, ความหอมของผ้า

สำรวจพบสัดส่วนการใช้งานเครื่องซักผ้าต่อประชากร 100 คน แบ่งตามเซกเมนต์ ฝาบนประมาณ 42% สองถัง 42% ฝาหน้า 15% และอัตราที่ครัวเรือนไทยมีเครื่องซักผ้าใช้งานในบ้านอยู่ที่ประมาณกว่า 60% โดยสาเหตุที่เครื่องซักผ้าสองถังยังมีส่วนแบ่งที่เยอะมาจากข้อจำกัดของแรงดันน้ำในแต่ละพื้นที่อาศัยของผู้บริโภคที่ยังไม่เสถียร

ผลิตภัณฑ์ไลน์เครื่องซักผ้าใหม่ของบริษัทปีนี้ จึงทำมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ ข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวเครื่องซักผ้าฝาหน้า และเครื่องซักอบเจเนอเรชันใหม่ 3 ซีรีส์

ตู้เย็น ทีมรีเสิร์ชของบริษัทพบว่าอาหารของประเทศไทยมีเอกลักษณ์โดยเฉพาะในเรื่องกลิ่น ตลอดจนหลังผ่านวิกฤตโรคระบาด ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้การเก็บผัก ผลไม้มีมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ตู้เย็นจึงต้องกำจัดกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาสภาพของอาหารให้มีความสดใหม่นานที่สุด

เป็นที่มาของกลุ่มตู้เย็นเปิดตัวใหม่ของบริษัทปีนี้ อย่างรุ่นมัลติดอร์ 4 ประตู และไซด์บายไซด์ 2 ประตู ที่มาพร้อมระบบกำจัดกลิ่นใหม่ล่าสุดที่คิดค้นโดยบริษัท

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า จากรีเสิร์ชของบริษัท พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ปัจจุบันเลือกลงทุนในห้องครัวมากที่สุด มากกว่าห้องรับแขก และวางโพสิชั่นนิ่งห้องครัวเป็นพื้นที่สังสรรค์

สอดรับไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมการกิน ทำให้ส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านขนาดเล็ก ของบริษัทปีนี้ ทั้งกลุ่มคุกกิ้ง ลิฟวิ่ง นอกจากจะให้ความสำคัญกับการใช้งานง่าย ยังเน้นดีไซน์ที่สวยงามอีกด้วย อย่าง หม้อหุงข้าวของบริษัทที่ปัจจุบันก็นับเป็นทอป ออฟ มายด์ของผู้บริโภคในตลาดเซกเมนต์นี้

อนึ่ง ผลิตภัณฑ์ Mid to High ของบริษัทแม้จะยังไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับพอร์ตทั้งหมดของแบรนด์โตชิบา แต่ปี 2567 บริษัทตั้งเป้าให้ขยายตัวเป็น 2 เท่าจากที่มีอยู่เดิม ตลอดจนจะออกไลน์พัดลมรุ่นใหม่ ๆ มากขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าตามซีซั่นนอล (ฤดูร้อน) ของไทยที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายกว่าแอร์ และซื้อใช้หลายเครื่องต่อครัวเรือน

ปี 2567 บริษัทวางงบการตลาดเป็น 15% ของยอดขายซึ่งสูงขึ้น 3 เท่าจากปีที่ผ่านมาเพื่อขยายการรับรู้แบรนด์โตชิบาไปยังผู้บริโภคในกลุ่ม Alpha (ต่ำกว่า 11 ปี), เจนฯ Z (12-26 ปี), เจนฯ Y 21.9% (27-41 ปี) ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่เข้ามาเป็นกำลังซื้อหลักในอนาคต นอกเหนือจากการรักษาฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มเจนฯ X (42-56 ปี), Baby Boomer (57-75 ปี), Builder (76 ปีขึ้นไป)

วันนี้ (7 ก.พ. 2567) บริษัทได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ของแบรนด์ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ ประเดิมด้วยแคมเปญ “55 ปีของความใส่ใจ…ไม่มีเรื่องไหนเล็กเกินไปสำหรับเรา” โดยหมาก-ปริญ จะมาเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าโตชิบา นำเสนอผ่านสปอตโฆษณาที่จะเริ่มเผยแพร่ทางทีวี, สื่อออนไลน์, สื่อนอกบ้าน, สื่อสิ่งพิมพ์ ณ จุดขาย รวมไปถึงการทำคอนเทนต์ดิจิทัล และโซเชียลมาร์เก็ตติ้งอีกมากมาย

และเสริมทัพด้วย KOLs ที่มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ สื่อวิทยุ รวมไปถึงโรดโชว์ต่าง ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานจริง ณ ร้านค้า ตัวแทนจำหน่าย และย่านชุมชน ทั้งยังมีแคมเปญขอบคุณผู้บริโภคอย่างการแจกของรางวัล ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อสังคมซึ่งส่งเสริมคนทำงานในแวดวงศิลปะ, ผู้แทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เป็นต้น

ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเน้นขยายจุดวางสินค้ากลุ่มไฮเอนด์มากขึ้น รวมไปถึงการสร้าง Experience Store เพิ่มอีก 10 แห่งในปีนี้ โดยเน้นการโชว์สินค้ากลุ่ม Smart Solution ซึ่งเป็นเทรนด์ของคนยุคใหม่

ทั้งยังมีแผนเพิ่มช่องทางพิเศษสำหรับให้บริการสินค้ากลุ่มไฮเอนด์ รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า โดยเพิ่มทีมการให้บริการที่บ้าน (Onsite service) เพิ่มขึ้น

การบริหารจัดการซัปพลาย ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตในประเทศไทย 5 แห่ง รองรับไลน์อัปสินค้าในทุกเซกเมนต์ โดยในอนาคตยังมองถึงแผนลงทุนขยายกำลังผลิต และจะยังโฟกัสการผลิตสำหรับตลาดในประเทศเป็นสำคัญ


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer