Work: ปัจจุบันโลกสะดวกขึ้นและเปลี่ยนไปมาก นับเฉพาะสังคมการทำงาน การทำงานแบบผสมผสานสลับกันระหว่างที่บ้านกับเข้าบริษัท (Hybrid First) ก็ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แบบที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงจุดนี้ได้

ส่วนการหาข้อมูลต่าง ๆ และการสมัครงานออนไลน์ก็กลายเป็นช่องทางหลัก โดยมีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอกำลังขยับบทบาทขึ้นมา และบีบให้คนทุกรุ่นนับจาก Babyboom จนถึง Gen Z ซึ่งช่วงอายุตั้งแต่รุ่นปู่ลงมาถึงรุ่นหลานที่ยังทำงานอยู่ต้องปรับตัว   

อย่างไรก็ตาม มี 4 วิกฤตที่ทุกรุ่นต้องเจอในชีวิตการทำงาน และเป็นมาทุกยุคสมัย ซึ่งถ้าก้าวผ่านไปเส้นทางชีวิตก็จะรุ่งแบบติดสปีด

ไม่กล้าพอ: วิกฤตอย่างแรกเลยที่เหล่าคนทำงานต้องเจอ คือ จะไปต่อดีไหม ทั้งที่รู้ตัวว่าพอจะไปได้แต่ยังไม่กล้า โดยวิกฤตนี้จะมาถึงเมื่อชีวิตการทำงานมาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง

และถ้าปล่อยไปก็จะยิ่งถอยหลังลงไป ไม่ต่างจากจรวดที่พร้อมเต็มที่แต่กลับพุ่งไปไม่ถึงชั้นบรรยากาศ จนตกลงกระแทกพื้น

แม้เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่เลือกไม่ถูกเพราะทำใจรับผลเสียที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้เมื่อเผชิญความไม่แน่นอน ถึงขนาดมีผลการศึกษาที่ว่า บางคนถึงขนาดยอมโดนไฟฟ้าช็อตดีกว่าที่ต้องแบกรับผลเสียของการเลือกผิด

วิกฤตนี้สามารถก้าวข้ามผ่านได้ด้วยการหาข้อมูลของทางที่จะเลือก เช่น ถ้าเป็นการข้ามไปสายงานใหม่ก็ให้ทยอยพัฒนาทักษะ หาความรู้

และลองฝึกจนมั่นใจแล้วตัดสินใจเดินเลย ถ้ารุ่งก็ลุยเดินหน้าเต็มกำลัง ถ้าผิดก็ถือว่าเป็นประสบการณ์และบทเรียน

 

ท้อติดหล่ม: วิกฤตถัดมาที่ต้องเจอในเส้นทางการทำงาน คือ ปล่อยให้ความเจริญก้าวหน้าขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาหรือผู้อื่นมากเกินไป เช่น ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายและคิดว่าคงได้รับรางวัลเป็นการเลื่อนขั้น

แต่ลืมคิดไปว่าเลื่อนขั้นไม่ได้พิจารณาจากผลงานเพียงอย่างเดียว เพราะอาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น เหตุการณ์แวดล้อม เส้นสายและการเมืองในบริษัท

นี่จึงเป็นการบั่นทอนกำลังใจคนที่ทำงานดีแต่ไม่มีปากมีเสียง แต่ขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้ก็ยังก้มหน้าทำงานต่อไปพร้อมความทดท้อน้อยใจ

คนทำงานสามารถก้าวผ่านวิกฤตข้อนี้ได้หลายทาง ทั้งการให้กำลังใจตัวเองไปจนถึงวางกรอบเวลาเพื่อดูสถานการณ์อีกสักระยะ ไปจนถึงเด็ดขาดด้วยการหางานใหม่ไปเลย

 

คิดไปเอง: วิกฤตข้อนี้คนทำงานในปัจจุบันเป็นกันมาก ซึ่งที่เห็นชัด ๆ คือ คิดกลัวไปว่าเทคโนโลยีเอไอจะมาแย่งงาน จนพานต่อต้านเทคโนโลยีไปเลย

นี่เป็นสิ่งผิด เพราะยิ่งต่อต้านก็จะยิ่งตามเทคโนโลยีไม่ทัน และจะยิ่งเป็นการปิดกั้นตัวเอง โดยวิธีการก้าวข้ามผ่านการคิดไปเอง คือ ต้องปรับทัศนคติและกรอบความคิด

ตามด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ พัฒนาทักษะใหม่ ๆ (Upskilling) และถ้ายิ่งปรับตัวได้ไว นอกจากจะทำให้คุณยังคงเป็นพนักงานทรงคุณค่าของบริษัท ไม่ต่างจาก MVP ในกีฬากลุ่มอเมริกันเกม แล้วยังช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย

เห็นผิดเป็นชอบ: มาถึงวิกฤตข้อสุดท้ายที่คนทำงานต้องเจอสักวันในเส้นทางอาชีพ นั่นคือการหลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว และทำสิ่งที่ขัดต่ออุดมการณ์ โดยเฉพาะการทุจริตต่าง ๆ

การเห็นผิดเป็นชอบจะกลายเป็นตราบาปติดตัวไปตลอด เช่นที่ Adam Nuemann หนึ่งในสามผู้ก่อตั้ง WeWork ถูกจดจำว่าต้องออกจากบริษัทตัวเอง เพราะการทุจริตจากการนำเงินบริษัทไปใช้ชีวิตหรูหรา

ทั้งที่บริษัทที่เขาร่วมสร้างมากับมือ คือบริษัทที่สร้างธุรกิจบริหารจัดการพื้นที่ทำงานร่วม (Co-Working Space) ขึ้นมา

การก้าวข้ามผ่านวิกฤตนี้ทำได้ด้วยการถามคนรอบข้างที่กล้าพูดตรง ๆ โดยถ้าพวกเขาเตือนว่าคุณทำตัวผิดจากอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ หรือไม่เหมาะสมไม่ว่าด้านใดก็ตาม ก็ควรเร่งปรับปรุงตัวเพื่อไม่ให้ถลำจนถอนตัวไม่ขึ้น ต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต ♦/fastcompany


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer