ปตท. ฉายภาพอาณาจักรธุรกิจใหม่ของยักษ์ใหญ่ในวันที่โลกร้อนจนเดือด
โลกร้อนคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ปตท.ต้องเร่งหาจุดยืนใหม่ให้กับองค์กร
ยุคเก่า ปตท.จะทำธุรกิจบนฐานของการใช้ทรัพยากร ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดสายโซ่อุปทาน
ยุคใหม่ ปตท.ต้องทรานส์ฟอร์มจากพลังงานดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ปิโตรเลียม หรือก๊าซธรรมชาติ
ไปสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด (Go Green) และเร่งสปีดขยายธุรกิจใหม่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่พลังงานอย่างเต็มที่

เมื่อปี 2561 ได้แยกหน่วยธุรกิจหนึ่งออกไปเป็นบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เพื่อบุกหนักธุรกิจด้าน non-oil ที่ปัจจุบันมีรวมกันไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท
ที่ทำขายเอง เช่น Cafe Amazon, Texas Chicken, PEARLY TEA
ที่ร่วมทุนกับเอสเอ็มอีรายเล็กหลายราย เช่น ร้าน “โอ้กะจู๋” ซึ่งกำลังผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือร้านสะดวกซัก “อ๊อตเทริ วอชแอนด์ดราย” ที่พาไปบุกตลาดในประเทศกัมพูชาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
เร็ว ๆ นี้ก็ได้เปิดตัวบริษัทใหม่ “โออาร์ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส” รุกธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม
ในปี 2564 ปตท.ยังได้ตั้งฝ่ายปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่ และโครงสร้างพื้นฐาน ที่มี ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ เป็นประธานเพื่อลงทุนในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์อย่างจริงจัง
เมื่อมีเม็ดเงินหนา ดังนั้น แค่เพียงประมาณ 3-4 ปี ปตท.ก็ได้เปิดตัวบริษัทใหม่ ทั้งตั้งเอง ร่วมทุน และซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันมี 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ๆ ที่ลงทุนไปแล้วคือบริษัทด้านพลังงานทดแทน, ธุรกิจ Life Science, EV Value Chain, AI & Robotics และ Cloud Business, โลจิสติกส์, และธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์
เฉพาะด้าน Life Science และกลุ่ม AV นั้นวันนี้มีบริษัททั้งหมดรวมกันแล้วประมาณ 20 บริษัท
พร้อม ๆ กับประกาศว่าในช่วงระยะเวลา 6 ปี (2566-2570) ปตท. จะใช้เงินลงทุนกับธุรกิจใหม่ และนวัตกรรมประมาณ 300,000 ล้านบาท และจะต้องทำรายได้ให้กับกลุ่มไม่ต่ำกว่า 30% ในปี 2573
ทั้งหมดคือภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าวันนี้ ปตท. ไม่ได้ทำแค่ความเท่ หรือแค่รักโลกเท่านั้น
แต่กำลังเอาจริงในการวางตำแหน่งตัวเองใหม่ (Reposition) เพื่อเอาตัวให้ “รอด” ในโลกอนาคตที่อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
