จากการประกาศปิดโรงงานประกอบรถยนต์ ซูบารุ ในประเทศไทย สิ้นสุดวันสุดท้าย 30 ธันวาคม 2567 ด้วยเหตุผลความต้องการปรับตัวทางธุรกิจ จากปัญหาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่สามาถขายรถในราคาที่เหมาะสมได้
และส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่าตลาดไทยถือเป็นตลาดที่เล็กสำหรับแบรนด์ซูบารุ ด้วยยอดจดทะเบียนใหม่กับกรมขนส่งทางบทเพียง 2,032 คัน ในปีที่ผ่านมา
ส่วนตลาดโลก ซูบารุ ขายได้ 912,452 คัน และยอดขายนี้มาจากตลาดหลักในสหรัฐอเมริกามากถึง 632,086 คัน
รองลงมาได้แก่ญี่ปุ่น 106,002 คัน และแคนาดา 54,966 คัน
พร้อมกับรายได้รวมทั่วโลก อ้างอิงตามปีปฏิทินญี่ปุ่น (เมษายน-มีนาคมในปีถัดไป)
2563 3,344,109 ล้านเยน (ประมาณ 783,195 ล้านบาท)
2564 2,830,210 ล้านเยน (ประมาณ 662,839 ล้านบาท)
2565 2,744,520 ล้านเยน (ประมาณ 642,771 ล้านบาท)
2566 3,774,468 ล้านเยน (ประมาณ 883,986 ล้านบาท)
2567 4,702,947 ล้านเยน (ประมาณ 1,101,437 ล้านบาท)
รายได้ 4,702,947 ล้านเยน หรือประมาณ 1,101,437 ล้านบาท ในปี 2567 มาจาก
ญี่ปุ่น 929,482 ล้านเยน (ประมาณ 217,686 ล้านบาท)
อเมริกา 3,631,074 ล้านเยน (ประมาณ 850,403 ล้านบาท)
ประเทศอื่นๆ142,391 ล้านเยน (ประมาณ 33,348 ล้านบาท)

อย่างไรก็ดีสำหรับการปิดโรงงานประกอบรถยนต์ซูบารุ ในประเทศไทย แบรนด์ซูบารุ ยังทำธุรกิจต่อ จากการเปลี่ยนธุรกิจซูบารุในไทย เป็นรถนำเข้ามาจำหน่าย พร้อมกับทำตลาดจำหน่ายรถที่ผลิตจากโรงงานไทยที่กำลังจะปิดตัวให้หมดสต๊อก
โดยที่ผ่านมาโรงงานประกอบรถยนต์ซูบารุ จดทะเบียนในชื่อบริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง กลุ่ม Tan Chong International บริษัทผู้ค่ำหวอดในธุรกิจยานยนต์ สังหาริมทรัพย์ ที่มีการดำเนินงานใน 10 ประเทศ รวมถึงไทย ในสัดส่วน 74.9% กับกลุ่มซูบารุ ประเทศญี่ปุ่น สัดส่วน 25.1% จดทะเบียนบริษัทในปี 2559
หลังจากจดทะเบียนบริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ใช้เวลานานถึง 3 ปีในการก่อสร้างโรงงานเสร็จสมบูรณ์ บนพื้นที่ 100,000 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุน 5,000 ล้านบาท พร้อมเดินสายประกอบรถครั้งแรกในปี 2562 เพื่อประกอบรถ Subaru Forester ทำตลาดในประเทศไทย และส่งออกไปยังมาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา
ซึ่งโรงงานประกอบแห่งนี้สามารถประกอบรถได้สูงสุดถึง 100,000 คัน ต่อปี
และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด มีผลประกอบการดังนี้
2562 รายได้รวม 3,403.41 ล้านบาท ขาดทุน 365.72 ล้านบาท
2563 รายได้รวม 2,194.75 ล้านบาท ขาดทุน 400.45 ล้านบาท
2564 รายได้รวม 1,611.21 ล้านบาท ขาดทุน 451.66 ล้านบาท
2565 รายได้รวม 2,077.30 ล้านบาท ขาดทุน 377.41 ล้านบาท
2566 รายได้รวม 2,960.12 ล้านบาท ขาดทุน 161.47 ล้านบาท
สำหรับการทำตลาดของซูบารุในประเทศไทย ยังคงทำตลาดผ่านบริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายรถให้กับดีเลอร์ 21 ราย พร้อมศูนย์บริการ 24 แห่ง
โดยตลอด 5 ปีกว่าที่ผ่านมา ซูบารุ มียอดจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกแต่และปีดังนี้
2562 ยอดจำทะเบียน 2,917 คัน
2563 ยอดจำทะเบียน 2,943 คัน
2564 ยอดจำทะเบียน 2,016 คัน
2565 ยอดจำทะเบียน 2,131 คัน
2566 ยอดจำทะเบียน 2,032 คัน
มกราคม-เมษายน 2567 ยอดจดทะเบียน 476 คัน
และบริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด มีผลประกอบการจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
2562 รายได้รวม 4,759.22 ล้านบาท กำไร 157.45 ล้านบาท
2563 รายได้รวม 3,847.09 ล้านบาท ขาดทุน 128.42 ล้านบาท
2564 รายได้รวม 2,467.21 ล้านบาท ขาดทุน 88.09 ล้านบาท
2565 รายได้รวม 3,221.87 ล้านบาท ขาดทุน 60.02 ล้านบาท
2566 รายได้รวม 2,478.25 ล้านบาท ขาดทุน 163.10 ล้านบาท
