Trend/นอกจากสายการบิน การท่องเที่ยว และพลังงานแล้ว ภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ทรุดหนักทั้งระบบช่วงล็อกดาวน์เช่นกัน ยืนยันได้จากข่าวปรับตัวหนีตาย หุ้นตก และตัวเลขขาดทุนมหาศาลตลอดวิกฤตครั้งนั้น

ท่ามกลางขาขึ้นของวงการสตรีมมิ่งที่สวนทางขึ้นมา เพราะผู้คนจำต้องอยู่ในบ้านตามมาตรการสกัดการระบาด อย่างไรก็ตาม แม้โลกคืนสู่ภาวะปกติแล้ว แต่สถานการณ์ในตลาดบ้านเกิดของภาพยนตร์ดัง ๆ กลับเข้าขั้นวิกฤต

24 – 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยอดขายตั๋วภาพยนตร์ในสหรัฐฯ อยู่ที่เพียง 128.3 ล้านดอลลาร์ (ราว 4,718 ล้านบาท) เท่านั้น ถือเป็นยอดขายตั๋วเปิดตัวช่วงฤดูร้อนที่ต่ำสุดนับจากปี 1995 หรือในรอบเกือบ 30 ปี

ภาพยนตร์ที่ทำเงินมากสุดในกรอบเวลาดังกล่าว คือ Furiosa : A Mad Max Saga ทำเงินได้เพียง 32 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,176 บาท) เท่านั้น

โดยมี Garfield : The Movie ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ก็ทำเงินไปได้เพียง 31.1 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,143 บาท) เท่านั้น

นี่ถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก เพราะ Furiosa : A Mad Max Saga เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ของปี 2024 เรื่องที่ 5 ของจักรวาล Mad Max ต่อเนื่องจากภาคก่อนเมื่อปี 2015 และต่อยอดมาจากภาพยนตร์ดัง 3 ภาคแรกระหว่างปี 1979-1985

การเปิดตัวแย่สุด ๆ ครั้งนีัมีขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อเนื่องในวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ ที่กำลังจะตามมา นั่นคือ ภาพยนตร์ที่กำลังจะต่อคิวเข้าฉายตลอดช่วงฤดูร้อน อาจทำได้แย่เหมือน Furioza : A Mad Max Saga

เพราะ Bad Boys : Ride or DIe, Twister, Dead Pool and Wolverine และ Alien : Romulus ที่ต่อคิวเข้าฉายช่วงฤดูร้อนในสหรัฐฯ จากปลายพฤษภาคมไปจนถึงสิงหาคม แม้เป็นฟอร์มใหญ่ ทุนสร้างเยอะ

แต่ก็เป็นภาพยนตร์กลุ่มภาคต่อ หรือนำมาทำใหม่ จนกล่าวได้ว่า ไม่มีเรื่องไหนที่เป็นเรื่องใหม่จริง ๆ เลย ซึ่งหากเป็นความจริงขึ้นมา ย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐฯ โดยรวมด้วย

เพราะช่วงฤดูร้อนกินสัดส่วนของรายได้ภาพยนตร์ทั้งปีมากกว่า 40% โชคร้ายที่เรื่องนี้มีแนวโน้มเป็นจริง

มีการคาดการณ์ว่าปี 2024 ยอดขายตั๋วภาพยนตร์ในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 8,200 ล้านดอลลาร์ (ราว 301,000 ล้านบาท) น้อยกว่าปี 2023 อยู่ 10%

นอกจากขาดภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เล่าถึงเรื่องราวใหม่ ๆ ที่จะสามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้าโรงภาพยนตร์ได้

อันเป็นการย้ำว่า วงการภาพยนตร์สหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า Hollywood เอาแต่ทำภาคต่อภาคแยกมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แล้ววิกฤตครั้งนี้ยังมาจากพฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของผู้คนเปลี่ยนไป

คนส่วนใหญ่เข้าโรงภาพยนตร์กันน้อยลง เพราะเห็นว่าสามารถรอดูเมื่อลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้ ส่วนในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งก็มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่และคอนเทนต์ต่อยอดจากภาพยนตร์ดัง ๆ

เช่นที่ Netflix มีภาพยนตร์อย่าง Red Notice กับ The Grey Man และ Disney Plus มีซีรีส์ต่อยอดจากภาพยนตร์ Star Wars ตามลำดับ

นอกจากนี้ การถ่ายทำและกำหนดฉายของภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ ซึ่งก็เป็นภาคต่ออีกเช่นกัน ในกรณีของ Mission Impossible ภาค 8 ก็ถูกเลื่อนออกไป จากการประท้วงของสมาคมผู้เขียนบท

ขาลงของภาพยนตร์กลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ของทั้งค่าย Marvel และ DC รวมไปถึงไม่มีนักแสดงดังรุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถจูงใจให้เข้าไปดูภาพยนตร์ในโรงได้ ต่างก็เป็นสาเหตุให้ยอดขายตั๋วภาพยนตร์ทั้งช่วงฤดูร้อนและตลอดปีนี้ลดลงไปเช่นกัน/cnn, bbc


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer