ตลอด 10 ปีของ ‘วอท เดอะ ดัก (What The Duck)’ ค่ายเพลงทางเลือกไทยที่ยังคงเติบโตด้วยผลงานเพลง และศิลปินเป็นหลัก

ท่ามกลางธุรกิจค่ายเพลงทั้งเล็กใหญ่ที่ต้องวางตัวให้มีความหลากหลายของงานสร้างสรรค์ เลี่ยงความเสี่ยงจากการโดนลดบทบาทในโลกสมัยใหม่ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงความบันเทิงได้ครบวงจรผ่านออนไลน์

ตลอดจนการสร้างดนตรีแนวทางเลือกใหม่ ๆ ของค่ายสร้างศิลปินที่เติบโตจนมีฐานผู้ฟังแข็งแรง หลายวงมีคอนเสิร์ตใหญ่ ได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรีระดับโลก มีเพลงติด Billboard chart บนสตรีมมิ่งเพลงระดับโลก

วันนี้ What The Duck ยังคงขยายการทำงานเพลงอย่างต่อเนื่อง ผ่านยูนิตย่อยต่าง ๆ โดยมีค่ายหลักเป็นโฮลดิ้ง ไม่ว่าจะเป็น WHOOP Music, Moon Flowers

และ ‘MILK! BKK Artist Service Platform’ แพลตฟอร์มบริหารจัดการศิลปินอินดี้หน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ซึ่งถึงขวบปีที่ก้าวเข้าสู่การตั้งค่ายเพลงของตัวเองกับ ‘MILK! BKK Music Label’

Marketeer เลยถือโอกาสชวนพูดคุยกับ บอล-ต่อพงศ์ จันทบุบผา ซึ่งหลายคนอาจรู้จักเขาในฐานะมือกีตาร์วงสครับบ์ (Scrubb) วงดูโอ้ที่บุกเบิกยุคทอง ‘ดนตรีอินดี้ของไทย’ แต่อีกบทบาทของบอลคือการเป็นคนเบื้องหลังที่คลุกคลีอยู่กับธุรกิจค่ายเพลงมาตลอดช่วงอาชีพการงาน

และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกับผู้บริหาร What The Duck ที่รับผิดชอบดูแลในส่วนที่ปรึกษาด้านงานสร้างสรรค์ผลงานเพลงร่วมกับศิลปินในค่าย จึงนับเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตด้านการทำงานของศิลปินทุกวงของค่าย

คนหลังบ้าน

10 ปีของ What The Duck จากค่ายเล็ก ๆ กลายมาเป็นค่ายเพลงไทยขนาดกลางในปัจจุบัน ซึ่งก็มีการปรับโครงสร้างการทำงานเพื่อให้มีความชัดเจน และเกิดการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง

อย่าง ‘MILK! BKK Artist Service Platform’ ก็เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการงานหลังบ้านให้ศิลปินกลุ่มอินดี้ที่มีศักยภาพ เพื่อจะได้ลงสนามการทำงานอย่างจริงจัง ซึ่งแพลตฟอร์มก็เดินทางเข้าสู่ปีที่ 4 แล้วในปัจจุบัน

คนกลาง

การเติบโตของส่วนงาน MILK! BKK Artist Service Platform และบทบาทที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นของศิลปินพี่ใหญ่จาก What The Duck ในการดูแลศิลปินรุ่นน้องในค่าย

ทำให้ตนเองอยากสร้างพื้นที่ตรงกลางที่อยู่ระหว่าง What The Duck และ MILK! BKK Artist Service Platform รองรับศิลปินที่จะเติบโตบนแพลตฟอร์ม และศิลปินที่ค่ายเสาะหา ได้มาทำเป็นอาชีพจริงจังมากขึ้น ภายใต้บิสิเนสแบบค่ายเพลงเต็มตัว

จึงเกิด ‘MILK! BKK Music Label’ ค่ายเพลงสำหรับวงอินดี้ซึ่งจะยังคงมีความเป็นแซนด์บ็อกซ์ และวางโพสิชั่นนิ่งเจาะกลุ่มผู้ฟัง Gen Z (12-26 ปี) ที่คุ้นเคยกับการฟังเพลงแบบ MILK! มากกว่าแบบ What The Duck ซึ่งอิมเมจดูเป็นพี่คนโต

อินดี้สไตล์ MILK! BKK

นิยามแนวดนตรีอินดี้ของค่าย ‘MILK! BKK’ คือดนตรีของศิลปินอิสระที่สามารถสร้างสรรค์งานเพลงทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง โดยโมเดลการทำงานดังกล่าว ปัจจุบันนับเป็นช่วงที่เฟื่องฟูที่สุด เพราะเป็นยุคที่ปัจจัยแวดล้อมเอื้ออำนวยมาก ๆ

ไม่ว่าจะเป็นโลกออนไลน์ที่เปิดกว้าง สถาบันการศึกษาที่มีการพัฒนาหลักสูตรซึ่งรองรับการฟูมฟักศักยภาพคนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดเพลงไทยต่อเนื่อง

วง ELEVEN/วง mute.

ตลอดจนแนวเพลงอินดี้ปัจจุบันไม่ได้ฟังยากหรือเฉพาะทางอีกต่อไป แต่เป็นไปตามความสนใจของผู้ฟังมากขึ้น เกิดโอกาสใหม่ ๆ ให้คนทำงานสร้างสรรค์ในตลาดเพลงขนาดกลาง, เล็ก ซึ่งสุดท้ายก็จะส่งเสริมกันกับตลาดเพลงเมนสตรีม เพียงรอการค้นพบจากผู้ฟัง ซึ่งนั่นคือพันธกิจของ MILK! BKK

โนว์ฮาวจากคนรุ่นใหม่

ศิลปินส่วนใหญ่ของ MILK! เป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุต่ำกว่า 25 ปีเป็นหลัก ทั้งด้วยความที่ค่ายเป็นพื้นที่อิสระสำหรับแนวทางการทำดนตรีของศิลปินก็เลยเกิดสายป่านของคนทำงานรุ่นใหม่เข้ามาให้ทางค่ายมากขึ้น

อาทิ ช่างภาพ, สไตลิสต์, คนทำมิวสิกวิดีโอ ส่งผลให้ค่ายได้เรียนรู้โนว์ฮาวและทักษะใหม่ ๆ กอปรกับการบริหารจัดการตามมาตรฐานค่ายเพลง ก็เกิดเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สร้างทางเลือกใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภคในตลาดเพลง

โชคดีที่เกิดก่อน

ในฐานะคนทำเพลงคนหนึ่ง บอลคิดว่าตนเองโชคดีมากที่เกิดก่อนเยาวชนที่ตนเองได้ทำงานเพลงด้วย ถ้าตนเองเติบโตมาในยุคนี้คงเป็นได้แค่เด็กหลังห้องคนหนึ่ง

วง mlsnw

เพราะศิลปินรุ่นใหม่สมัยนี้ ไม่ได้เก่งแค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เรื่องความคิดสร้างสรรค์ ทัศนคติในการนำเสนอผลงาน มันรอบด้าน และครบวงจรมาก ๆ สิ่งที่ตนเองพอจะถ่ายทอดให้ได้คงมีเพียงประสบการณ์บางอย่างที่เคยผ่านมาก่อน

ส่วนที่เหลือหลังจากนี้ ทั้งกับ What The Duck และ MILK! BKK คงเป็นการเดินทางที่จะได้ร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับพวกเขา

ไปด้วยกัน ‘ไปได้ไกลกว่า’

โลกออนไลน์ทำให้ศิลปินที่มีศักยภาพสามารถแจ้งเกิดและหารายได้ด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพิงการซัปพอร์ตของค่าย ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนหลัก ๆ ของค่ายเพลงไทยที่สายป่านยังไม่ยาวพอในตลาดเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว

แต่ปัจจุบันทิศทางดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไป เพราะศิลปินหน้าใหม่ที่เริ่มทำเพลงมาจนเป็นที่รู้จักระดับหนึ่ง เริ่มมีแพชชั่นที่จะทำงานจริงจัง กลับเดินเข้ามาหาค่ายเพลงมากขึ้น มองค่ายเป็นดังที่ปรึกษา ช่วยรังสรรค์งาน สร้างแบรนดิ้งให้กับตัวศิลปินในสเกลที่ใหญ่และต้องใช้ทีม

BOWKYLION x H.U.I : The Forest Exhibition

อาทิ ค่าย What The Duck ที่มีการจัดนิทรรศการจากผลงานเพลงของอัลบัมเต็มของศิลปิน, มิวสิกเฟสติวัลออนไลน์ที่ช่วยให้ศิลปินและผู้ฟัง สามารถคอนเนกกันได้ในวิกฤตโรคระบาด

สะพานเสียงเพลง

โครงสร้างการทำงานของ MILK! BKK เป็นเช่นเดียวกับ What The Duck คือเป็นค่ายที่ทำมาร์เก็ตติ้ง และบริหารจัดการงานหลังบ้านให้ศิลปิน เพียงแต่มีสเกลบิสิเนสที่เล็กกว่า ทั้งอยู่ภายใต้โฮลดิ้งเดียวกัน

อำนวยความสะดวกให้ศิลปินสามารถโฟกัสกับการทำงานเพลงได้อย่างอิสระ โดยมีรุ่นพี่ในค่ายที่พร้อมเป็นพี่เลี้ยง และค่ายก็จะมีหน้าที่เป็นสะพานนำพาผลงานเพลงของศิลปินไปสู่คนฟังให้มีประสิทธิภาพที่สุด

10 ปีที่แล้ว และ 10 ปีข้างหน้า

10 ปีที่แล้วตอนเริ่มทำ What The Duck ตนเองรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ฟังผลงานของศิลปินที่ปัจจุบันเป็นดาวเด่นอยู่ในตลาดแมสอย่างไร โมเมนต์นั้นยังคงอยู่ตอนที่ทำงานกับศิลปินในค่าย MILK! BKK

ทั้งศิลปินที่โดดเด่นอยู่ในตลาดแมสของเพลงไทยทุกวันนี้ หลายคนก็เริ่มจากการเป็นศิลปินอิสระ ตนเองหวังว่า 10 ปีข้างหน้า เมื่อมองย้อนกลับมา ความภูมิใจคือศิลปินที่เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นที่รู้จัก สามารถหาเลี้ยงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี แบบเดียวกับที่มองกลับมายัง What The Duck ในวันนี้

เดบิวต์

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีศิลปินเข้ามาใน MILK! BKK Artist Service Platform ประมาณ 1-3 วงต่อปี ซึ่งตอนนี้มี 5 วงที่ก้าวขึ้นสู่ค่าย MILK! BKK ดังนี้ mute./j.rabbit/mlsnw/ELEVEN และ PURPEECH พี่คนโตของค่ายที่เพิ่งมีคอนเสิร์ตเปิดอัลบัมครั้งแรกของวงไปเมื่อต้นปี 2024

โดยวันที่ 21 พ.ค. 2024 ที่ผ่านมาทั้ง 5 วง ก็ได้มาเดบิวต์ในฐานะศิลปินของค่าย MILK! BKK อย่างเป็นทางการ ณ คอมมูนิตี้สเปซสร้างสรรค์ย่านเจริญกรุงอย่าง The Corner House ตลอดจนศิลปินวงอื่น ๆ ใน MILK! BKK Artist Service Platform ก็ได้มาร่วมโชว์ในงานอีกด้วย

วง PURPEECH

ตนเองตั้งเป้าปีแรกจะให้ความสำคัญกับการที่ศิลปินทั้ง 5 วง ซึ่งนับเป็นเฟสหนึ่งของค่าย ได้รับ Brand awareness มากที่สุด ซึ่งประเมินว่าคงต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี สำหรับการสร้างให้ศิลปินเริ่มมีที่ทางของตัวเองชัดเจนในตลาดเพลง

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

ค่ายเพลงก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง การใช้อารมณ์ความรู้สึกอย่างเดียวคงจะเติบโตอย่างยั่งยืนไม่ได้ โดยค่าย MILK! BKK ต้องบูรณาการประสบการณ์ที่ผ่านมาจากค่าย What The Duck

ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการไฟแนนเชียล ควบคุมคอร์สค่าใช้จ่าย ซึ่งถ้าทำงานกับศิลปินที่มีศักยภาพ และทีมที่มีความสามารถ แผนธุรกิจที่ชัดเจน

MILK! BKK หรือแม้แต่ธุรกิจค่ายเพลงไทยในสเกลสตาร์ตอัป ก็จะยังสามารถออกดอกออกผลในด้านตัวเลขได้ หากยืนระยะอยู่ได้ภายใน 3-5 ปี เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่สามารถสร้างยอดรับรู้รายได้อย่างมั่นคงภายในระยะเวลาสั้น ๆ อาทิ 6 เดือน

วง j.rabbit

เนื่องจากค่ายเพลงเป็นการทำงานร่วมกับอารมณ์ความรู้สึกของคนฟัง ซึ่งถ้าค่ายสามารถเข้าไปเป็น Brand loyalty กับผู้ฟังได้เมื่อไหร่ก็จะเกิดเป็นธุรกิจที่อยู่ในตลาดได้อย่างยาวนาน

ตลอดจนศิลปินที่ประสบความสำเร็จในตลาดเพลงไทยปัจจุบัน ผลงานเพลงของพวกเขาก็ยังมีอายุขัย ซึ่งก็ต้องมีการพัฒนาผลงานใหม่ ๆ สร้างการนำเสนอให้ศิลปินสามารถรักษาฐานผู้ฟังไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

ไม่ต้องแมสก็ขายได้

อย่างสัดส่วนรายได้ของ What The Duck งานจ้างร้องเพลงยังเป็นรายได้หลัก ส่วนสตรีมมิ่งและสปอนเซอร์ เป็นเซกเมนต์ที่เติบโตสูง เนื่องจากปัจจุบันแบรนด์ไม่ยึดติดกับศิลปินที่ติดลมอยู่แล้วในตลาดแมสอีกต่อไป

แต่ใส่ใจกับศิลปินที่มีฐานแฟนเพลงหรือแบรนดิ้งระดับเริ่มต้น ระดับกลางมากขึ้น ขอเพียงผลงานหรือตัวตนเข้ากันได้กับโปรดักต์ หรือมีกลุ่มคอมมูนิตี้ที่ตรงกับทาร์เก็ตของแบรนด์

นอกจากนั้น สัดส่วนรายได้เสริมอื่น ๆ ก็เป็นกลุ่ม Non-music อาทิ เดินแบบ ถ่ายแบบ, แสดงละคร แต่อย่างของค่าย What The Duck และ MILK! BKK จุดขายจะต้องยังชัดเจนที่คุณภาพผลงานเพลง

ซึ่งแน่นอนว่าการจัดหมวดหมู่ที่ชัดเจน และการวางโพสิชั่นนิ่งที่แตกต่างของทั้ง 2 ค่าย แต่อยู่ภายใต้โฮลดิ้งเดียวกัน จะทำให้แบรนด์ตัดสินใจเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น สร้างการรับรู้รายได้ที่มากขึ้น

นมโปรตีนรสช็อกโกแลต

M จาก Music (มิวสิก) แปลว่า เพลง

I จาก Independent (อินดิพิเดนท์) แปลว่า อิสระ

L จาก Learning (เลิร์นนิ่ง) แปลว่า การเรียนรู้

K จาก Knowledge (โนว์เลจ) แปลว่า ความรู้

รวมกันกลายเป็น MILK (มิลค์) แปลว่า ‘นม’ ซึ่งตนเองมองว่า MILK! BKK จะเป็นนมโปรตีนรสช็อกโกแลตที่เมื่อผู้ฟังดื่มแล้วจะเติบโตไปพร้อม ๆ กับทุกคนในค่ายหลังจากนี้


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer