ตลาดเครื่องปรุงรส 2.5 หมื่น ลบ. ‘ร้านอาหารริมทาง’ ขับเคลื่อน หลังผู้บริโภคกลับมาฝากท้องแทนทำรับประทานเอง อายิโนะโมะโต๊ะ มาร์เก็ตแชร์เบอร์หนึ่ง เรียนปรับขึ้นราคาผงชูรส 4% เซ่นพิษภัยแล้ง ลุยตลาดอาหารเสริม ลอนช์แพลตฟอร์มสุขภาพสำหรับองค์กร ขยายมิติสร้างความกินดีมีสุขให้ผู้บริโภคไทยต่อเนื่อง

มร. อิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ข้อมูลจาก Business Online Public Company, Ajinomoto (Thailand) revenue FY2023 net income ปี 2023 บริษัทมีผลประกอบการ 32,000 ล้านบาท มาร์เก็ตไซซ์อันดับ 8 ของกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตอาหารที่ทำตลาดอยู่ในประเทศไทย

กลยุทธ์สำคัญมาจากการรุกขยายผลิตภัณฑ์สู่กลุ่มร้านอาหารริมทาง และเปิดตัวสินค้าที่ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้หลัก และครองส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 อ้างอิงจากนีลเส็นคือ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ มาร์เก็ตแชร์ตลาดผงชูรส 93%, ‘รสดี’ มาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องปรุงรส 89%, ‘กาแฟกระป๋องเบอร์ดี้’ มาร์เก็ตแชร์ตลาดกาแฟพร้อมดื่ม 53%

นอกจากนั้น ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ‘ยำยำ’ มีมาร์เก็ตแชร์อันดับ 2 ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกรดอะมิโน ยอดขายเติบโตดับเบิลดิจิต และตลอดปี 2023 บริษัทมีสินค้าเปิดตัวใหม่ 14 ตัว

ภาพรวมตลาดเครื่องปรุงรส 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผงชูรส 15,000 ล้านบาท เครื่องปรุงรสทั่วไป 10,000 ล้านบาท ช่วงวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมา ตลาดเติบโตอย่างสูงจากการที่ผู้บริโภคเน้นอยู่บ้านเป็นหลัก เกิดกิจกรรมการทำอาหารเองสูงขึ้น

ขณะที่การกลับมาใช้ชีวิตกันเป็นปกติใหม่ หลังผ่านพ้นวิกฤต ตลอดจนการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว ทำให้กลุ่มร้านอาหารริมทาง เริ่มมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนกำลังซื้อในตลาดมากขึ้น

โดยการที่ผู้บริโภคไทยซึ่งมีอัตราการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากชอบรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม เริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ ที่ถูกต้องมากขึ้น

เป็นผลดีต่อตลาดเครื่องปรุงรส โดยเฉพาะผงชูรส ซึ่งผู้บริโภคไทยยังมีการรับรู้ที่บิดเบือนไปบ้าง เกิดการบอกต่อที่คลาดเคลื่อน เพราะจริง ๆ แล้วนั้นกลูตาเมตซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง มีอยู่ในอาหารจากธรรมชาติอยู่เเล้ว ไม่เพียงว่ารับประทานผงชูรสเเล้วจะได้รับสารนี้อย่างเดียว เเละผงชูรสจะต้องให้โทษเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในตลาดเครื่องปรุงรส กำลังเผชิญกับวิกฤตราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะผลกระทบของภัยแล้ง โดยเป็นเหตุให้บริษัทเรียนแจ้งปรับขึ้นราคาผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ 4% สำหรับแพ็กเกจ 4 ไซซ์ ประกอบด้วย 250 กรัม, 500 กรัม, 1 กิโลกรัม, 3 กิโลกรัม มีผลแล้ววันนี้ (2 ก.ค. 2024)

โดยการปรับขึ้นราคาครั้งนี้เป็นการปรับในรอบกว่า 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2022 หลังครั้งนั้นได้ปรับขึ้นราคาไปแล้ว 10% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ส่วนผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ ไซซ์สำหรับใช้ในครัวเรือน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ บริษัทยังยืนยันราคาเดิม ด้วยการใช้วิธีบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ผลสำรวจของ Kantar, Ajinomoto Brand Perception February-March 2024 พบว่าผู้บริโภคไทยมองว่าความเป็นอยู่ที่ดีของคนเราจะขึ้นอยู่กับอาหาร ซึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 20-39 ปี นิยมการสร้างเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ เลือกรับประทานอาหารอร่อยและดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญ ต้องมีหน้าตาสวยงามน่ารับประทาน

ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ อายุ 45-65 ปี จะหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่ใส่น้ำตาล ลดเค็ม ไขมันต่ำ งดอาหารแปรรูป

ทั้งนี้ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่มคิดว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวเอง โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องวัสดุที่สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ สะท้อนถึงอินไซต์ของผู้บริโภคว่ามีความใส่ใจเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

โดยเป็นเวลากว่า 100 ปีที่กลุ่มบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ก่อตั้งขึ้นด้วยการใช้ ‘ศาสตร์แห่งกรดอะมิโน (AminoScience)’ อันเป็นความเชี่ยวชาญหลักของบริษัท มาส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกให้กินดีมีสุข เพื่อดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืน

ทำให้แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทปี 2024 ยังคงตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำในการสร้างความ ‘กินดีมีสุข’ อย่างยั่งยืน ครอบคลุม 3 มิติ พนักงาน, ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม

เริ่มจากสินค้าเปิดตัวใหม่ปี 2024 ประมาณกว่า 10 ตัว และแบ่งเป็นกลุ่มบิสิเนสใหม่อย่างผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อย่างน้อย 2 ตัว จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 3 ตัว ทั้งวางงบการลงทุนปี 2024-2030 ประมาณ 4,400 ล้านบาท

เป็นครั้งแรกที่บริษัทต่อยอดความเชี่ยวชาญจากผู้ผลิตอาหารสู่เซอร์วิส ด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชันสุขภาพสำหรับองค์กร ‘i-LiveWell’ แพลตฟอร์มกินดีมีสุขฉบับมนุษย์เงินเดือน รุกตลาดการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันด้วยโมเดลธุรกิจแบบ B2B เตรียมเจาะ 50 บริษัททั่วไทย ที่มีนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน

เสริมไลฟ์สไตล์สร้างความกินดีมีสุข ผ่านฟีเจอร์หลัก ๆ อาทิ คำนวณแคลอรี นับก้าวเดิน ทำอาหาร ออกกำลังกาย การประเมินสุขภาพ ที่เชื่อมโยงกับภารกิจของบริษัท ผ่านประสบการณ์การใช้ง่ายที่สะดวกและเอนเตอร์เทนเมนต์ ตั้งเป้ามีพนักงานผู้ใช้งานกว่า 3,000 คน ภายในปี 2025

นอกจากการสร้างความกินดีมีสุขให้กับผู้บริโภคไทยผ่านโภชนาการที่ดีแล้ว บริษัทยังมุ่งสร้างความยั่งยืนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ใช้แป้งมันสำปะหลังอันดับ 1 ในไทย ด้วยการมุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

อย่างการสานต่อ ‘โครงการ Thai Farmer Better Life Partner’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อเพิ่มศักยภาพและเสริมทักษะเกษตรกรไทยแบบครบวงจร เริ่มตั้งแต่การเข้าไปสำรวจปัญหาของเกษตรกร พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำ

สร้างระบบนิเวศเชิงบวกในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรไทย ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และสร้างการเติบโตให้ผลผลิต 26-28% ทั้งเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ลดคาร์บอน และการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกมันสำปะหลังเข้าร่วมโครงการกว่า 1,500 ราย


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer