ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในฐานะประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีมาอย่างยาวนาน ด้วยชื่อเสียงในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูง รถยนต์ที่ทันสมัย และนวัตกรรมทางวิศวกรรมที่ล้ำหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ญี่ปุ่นกลับไม่มีบริษัทที่โดดเด่นในระดับโลกเทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาหรือจีน เช่น Microsoft, Google, Alibaba หรือ Tencent

ปรากฏการณ์นี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งด้านวัฒนธรรม การศึกษา และโครงสร้างทางธุรกิจของญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศนี้เป็นไปอย่างล่าช้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากตะวันตกและจีน ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษาที่เน้นการท่องจำมากกว่าความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด หรือแม้แต่อุปสรรคด้านภาษาที่ทำให้นักพัฒนาญี่ปุ่นเข้าถึงตลาดโลกได้ยากกว่า

ในบทความนี้จะวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นแม้จะเป็นประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยี กลับไม่สามารถสร้างบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกได้เทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกาหรือจีน พร้อมทั้งเจาะลึกถึงปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อสถานการณ์นี้

วิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่น

ก่อนที่จะไปเจาะถึงประเด็นข้อสงสัยที่ว่าทำไมญี่ปุ่นถึงแทบจะไม่มีบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ที่โดดเด่นขึ้นมาหรือมีก็น้อยมาก ๆ เรามาทำความเข้าใจประวัติศาสตร์อันยาวนานของวงการเทคโนโลยีของญี่ปุ่นกันก่อน โดยเฉพาะในส่วนการปฏิวัติเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์

อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์น่าสนใจและซับซ้อน  เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เมื่อกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม หรือ MITI ของญี่ปุ่น ได้วางแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ของประเทศ โดยจับคู่บริษัทคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นกับบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกา อย่าง Hitachi จับคู่กับ RCA และ IBM, NEC จับคู่กับ Honeywell, Oki กับ Sperry Rand, Toshiba กับ GE, Mitsubishi กับ TRW และ Fujitsu กับ IBM เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ แม้ว่าความตั้งใจเดิมจะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่น แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์

กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น: Wikipedia

ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเองในช่วงนั้นเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ IBM ถูกบังคับให้แยกซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ออกจากกันในปี 1969 ซึ่งนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อิสระ แต่ญี่ปุ่นกลับไม่มีแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกัน บริษัทคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นยังคงยึดมั่นกับกลยุทธ์การสร้างระบบปิดที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นได้ พวกเขามุ่งเน้นการผูกมัดลูกค้าด้วยระบบที่ปรับแต่งเฉพาะ ซึ่งทำให้ลูกค้าต้องพึ่งพาผู้ผลิตรายเดียวสำหรับการอัปเกรดและสนับสนุนทางเทคนิค

 

การพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ของญี่ปุ่นในช่วงปี 1960: Click Americana

ความแตกต่างนี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อเกิดการปฏิวัติเวิร์กสเตชันและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ในขณะที่บริษัทอเมริกันอย่าง Apple และ Microsoft สามารถสร้างแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์/ฮาร์ดแวร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง บริษัทญี่ปุ่นกลับพยายามใช้กลยุทธ์เดิมในตลาดคอมพิวเตอร์ยุคใหม่นี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ NEC ซึ่งเคยผูกขาดตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในญี่ปุ่นด้วยระบบปิดของตน แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อคู่แข่งต่างชาติที่นำเสนอระบบที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นกว่า

นอกจากนี้ วัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่นยังมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทญี่ปุ่นมักจะให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของกระบวนการทำงานภายใน และชอบที่จะปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้เข้ากับการดำเนินงานของตน แทนที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์มาตรฐาน แนวคิดนี้ส่งผลให้เกิดความต้องการซอฟต์แวร์ที่ปรับแต่งเฉพาะ ซึ่งไม่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (จึงขยายไปขายในตลาดแมสยาก)

ความพยายามของรัฐบาลญี่ปุ่นในการสร้างอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง เช่น โครงการ Fifth Generation* และ TRON** ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากไม่สามารถสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมในวงกว้างได้ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาช้าของตลาดเงินทุนร่วมลงทุนสำหรับบริษัทเทคโนโลยี(Venture Capital) และระบบการจ้างงานตลอดชีพที่ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานต่ำ ก็มีส่วนทำให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ญี่ปุ่นไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่เหมือนในสหรัฐอเมริกา

ดังนั้น วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องราวของความพยายามที่จะสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ แต่กลับถูกจำกัดด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร และปัจจัยทางสังคมที่ไม่เอื้ออำนวย แม้ว่าญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จในหลายด้านของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ในด้านซอฟต์แวร์พวกเขากลับพบว่าตนเองอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบในตลาดโลก ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต

* โครงการ Fifth Generation Computer Systems (FGCS) ของญี่ปุ่นเป็นโครงการที่ดำเนินการในช่วงปี 1982 ถึง 1992 โดยรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านทางกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ (MITI) ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICOT: Institute for New Generation Computer Technology) โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ใน “ยุคที่ห้า” โดยเน้นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลแบบขนาน (parallel processing) และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์

แม้ว่าโครงการ FGCS จะไม่ประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายทั้งหมด แต่ก็ได้มีส่วนสำคัญในการผลักดันการวิจัยและพัฒนาในด้านการประมวลผลแบบขนานและปัญญาประดิษฐ์ โครงการนี้ยังช่วยสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI และการประมวลผลข้อมูลขนานในวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคต่อ ๆ มาทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก

โครงการ FGCS สิ้นสุดลงในปี 1992 โดยความสำเร็จหลักของโครงการคือการพัฒนาเทคโนโลยีและแนวคิดที่นำไปใช้ในงานวิจัยและพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ในยุคถัดไป แต่อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้ผลิตเทคโนโลยีหรือระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวางตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ในตอนแรก

** โครงการ TRON (The Real-time Operating system Nucleus) เป็นโครงการที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1984 โดยศาสตราจารย์ Ken Sakamura จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบปฏิบัติการและสภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ได้ในทุก ๆ ด้านของชีวิตประจำวัน รวมถึงการใช้งานในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ระบบการคมนาคม และอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมต่างๆ

โครงการ TRON มีการออกแบบระบบปฏิบัติการที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับให้เข้ากับฮาร์ดแวร์และความต้องการเฉพาะของแต่ละระบบได้ ตัวระบบ TRON ถูกออกแบบให้เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเวลาจริง (Real-time Operating System) ซึ่งหมายความว่าสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ในขณะที่โครงการ TRON มีความสำเร็จในบางด้าน โดยเฉพาะในญี่ปุ่น เช่น ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในระดับสากลมากนัก เนื่องจากการแข่งขันจากระบบปฏิบัติการอื่น ๆ และความท้าทายด้านการทำตลาดในต่างประเทศ

สาเหตุหลักที่ทำให้วงการพัฒนาซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นไม่ไปไหน

ก่อนที่จะเข้าประเด็นหลักของบทความนี้ เรามาทำความเข้าใจถึง วงจรวิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์เทคฯกันก่อน

 

ที่มา: Semiengineering

 

 

กราฟที่เห็นอยู่ด้านบนนี้อธิบายวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีแบบ ดั้งเดิม และ แบบใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้วฮาร์ดแวร์จะได้รับการพัฒนา ก่อน ซอฟต์แวร์ แต่ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าทั้งสองอย่างนี้ต้องพัฒนาควบคู่กันเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ ในเรื่องระยะเวลาในการนำสินค้าออกสู่ตลาดยังลดลงอีกด้วย แปลว่าระยะเวลาวิจัยและพัฒนาก็จะไม่นานเท่าในสมัยก่อนแล้ว

ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ให้ความสำคัญและพิถีพิถันมากกับกระบวนการวิจัยและพัฒนา พวกเขาต้องการให้สินค้านั้นมีคุณภาพดี คงทน และให้ประโยชน์กับผู้ใช้งานจริง ๆ ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงยังคงยึดมั่นในแนวคิดแบบเก่า (การพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีแบบ ดั้งเดิม) ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา โดยให้ความสำคัญกับฮาร์ดแวร์ก่อน จากนั้นจึงให้ความสำคัญกับซอฟต์แวร์

ทีนี้เรามาเข้าประเด็นกันดีกว่าอะไรทำให้ ญี่ปุ่น เป็นชาติที่โดดเด่นด้านฮาร์ดแวร์ แต่ไม่เฉิดฉายเลยในด้านซอฟต์แวร์

ปัจจัยแรก บริษัทเทคฯ ญี่ปุ่นไม่ได้ให้ค่าซอฟต์แวร์มากเท่ากับฮาร์ดแวร์

ประโยคนี้อาจจะดูแรง แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีในญี่ปุ่นคิดกัน ซึ่งการที่ญี่ปุ่นเป็นแบบนี้จะเข้ากับคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “หากคุณไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง โลกจะเปลี่ยนคุณเองและคุณจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ปัจจัยอย่างกระบวนการตัดสินใจ ระบบการศึกษา และการลงทุนต่างเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นการไม่เห็นคุณค่าของ ซอฟต์แวร์ ของญี่ปุ่น

ปัจจัยที่สอง วิศวกรซอฟต์แวร์ในญี่ปุ่นเป็นผู้มีบทบาทและส่วนร่วมกับการพัฒนาน้อยมาก แม้แต่ในบริษัทเทคโนโลยี

วิศวกรซอฟต์แวร์เมื่อเทียบกับวิศวกรฮาร์ดแวร์ประเภทอื่น (เช่น วิศวกรเครื่องกล หรือวิศวกรไฟฟ้า) มักถูกมองว่ามีชื่อชั้นด้อยกว่าหรือคุณค่าต่ำกว่าวิศวกรในสายอื่น ๆ ครั้งหนึ่ง Howard Stringer อดีตผู้บริหารสูงสุดของ Sony เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 2006 ว่า

“เราไม่ได้เอาวิศวกรซอฟต์แวร์เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราเริ่มจากวิศวกรฮาร์ดแวร์เริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากนั้นจึงค่อยนำซอฟต์แวร์เข้ามาในภายหลัง นั่นเป็นเพราะในบริษัทที่มีวัฒนธรรมการจ้างงานตลอดชีวิต (วัฒนธรรมการจ้างงานของบริษัทญี่ปุ่น) คนสูงอายุจะอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ส่วนวิศวกรซอฟต์แวร์ที่อายุน้อยกว่าจะอยู่ตำแหน่งล่างสุดและพยายามไต่เต้าขึ้นไป ดังนั้น จึงมีช่องว่างระหว่างวัยเกิดขึ้น”

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สถานการณ์แบบเดียวกันกับบทสัมภาษณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ Sony เท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับบริษัททั้งเทคฯ และไม่เทคฯ ทั่วทั้งญี่ปุ่น เมื่อผู้บริหารชาวญี่ปุ่นมองว่าความสามารถอันโดดเด่นและแตกต่าง (ฟังก์ชัน) ของฮาร์ดแวร์เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทมากกว่า

 

วิศวกรซอฟต์แวร์ไม่ใช่อาชีพที่เป็นยอดของพีระมิดเท่ากับวิศวกรสาขาอื่นๆ: Japan Dev

 

ดังนั้น วิศวกรฮาร์ดแวร์จึงได้รับการโอบอุ้มและอุ้มชูมากกว่าตำแหน่งไหน ๆ ในบริษัท และทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ง่ายกว่าวิศวกรในตำแหน่งอื่น ๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะธุรกิจของญี่ปุ่นมักมีลักษณะลำดับชั้นมากกว่าเป็นแนวราบอย่างที่บริษัทเทคฯ ควรจะเป็น ดังนั้น ถึงแม้ว่าซอฟต์แวร์จะเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น แต่เสียงของวิศวกรซอฟต์แวร์ก็ไม่ได้รับการรับฟังหรือถูกให้ความสำคัญน้อยลง (เนื่องจากผู้นำและผู้บริหารมักเติบโตมาจากวิศวกรรมฮาร์ดแวร์)

ไม่เพียงแต่เรื่องของสิทธิ์และเสียงหรือลำดับศักดิ์ในบริษัทเท่านั้น แต่ในเรื่องที่สำคัญอย่างค่าตอบแทนก็เป็นปัญหาสำหรับวิศวกรซอฟต์แวร์ในญี่ปุ่นเช่นกัน เมื่อวิศวกรซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าวิศวกรซอฟต์แวร์ในสหรัฐฯ อยู่มาก แน่นอนว่าค่าจ้างในสหรัฐฯ สูงกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด (ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาความไม่เท่าเทียมกันของรายได้)

และถึงแม้ว่าจะเอาเงินเดือนของวิศวกรซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นไปเปรียบเทียบกับของเยอรมนีหรือสหราชอาณาจักร วิศวกรซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นก็ยังได้เงินเดือนน้อยกว่าอยู่ดี ดังนั้น ลองคิดดูว่าถ้าหากคุณเป็นคนที่มีความสามารถระดับสูง แล้วทำไมคุณจะไม่ลองไปทำงานในประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา และรับค่าตอบแทนมากกว่า 2-3 เท่า แถมยังได้ทำงานกับบริษัทระดับโลกที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยกว่าล่ะจริงไหม และนี่คือสาเหตุหนึ่งของปรากฏการณ์สมองไหล

โดยเฉลี่ยแล้ววิศวกรซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นระดับเริ่มต้น (จูเนียร์) จะมีรายได้ประมาณ 30,600 ถึง 35,400 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่วิศวกรซอฟต์แวร์ของสหรัฐอเมริการะดับเริ่มต้นจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 80,000 ถึง 100,000 ดอลลาร์ต่อปี คุณลองดูความห่างว่ามากแค่ไหน

ปัจจัยประการที่ 3 บริษัทญี่ปุ่นเลือกที่จะแข่งขันกันในด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานมากกว่าเน้นพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ

มาถึงปัจจัยที่สามที่ทำให้เชื่อได้ว่าการถดถอยในแวดวงซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันมีที่มา นั่นก็คือ การลงทุน การลงทุนในที่นี้หมายถึงการลงทุนในซอฟต์แวร์ จากตัวเลขกราฟด้านล่างแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา

เปอร์เซ็นต์ในกราฟถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักด้วยกันก็คือ

  1. การใช้บริการพัฒนาซอฟต์แวร์จากทีมผู้พัฒนาภายในของบริษัท (In-House Developer) ในส่วนของการปรับแต่ง (ไม่ใช่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ตั้งแต่ต้น)
  2. การซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมาใช้
  3. การใช้บริการ Outsource ในการปรับแต่งซอฟต์แวร์ที่บริษัทใช้อยู่แล้ว

 

 

 

มาเน้นที่ซอฟต์แวร์ที่ “ปรับแต่งได้” กันดีกว่า ตามชื่อ ซอฟต์แวร์จะถูกปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของบริษัท โดยทั่วไปแล้วจะต้องลงทุนและเวลาเพิ่มขึ้น เนื่องจากซอฟต์แวร์ได้รับการดัดแปลงและออกแบบเป็นพิเศษ

มีข้อโต้แย้งอยู่บ้างที่สนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นลงทุนกับซอฟต์แวร์ บางคนบอกว่าวิศวกรซอฟต์แวร์ในญี่ปุ่นได้รับค่าจ้างน้อยกว่า ดังนั้น ต้นทุนการพัฒนาจึงน้อยกว่า นอกจากนี้ บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งยังลดต้นทุนด้านไอทีด้วยการไปเอาต์ซอร์สด้านไอทีให้กับบริษัทลูกของตัวเอง

สุดท้าย มีหลักฐานว่าอายุของแอปพลิเคชันทางธุรกิจของญี่ปุ่นนั้นยาวนานกว่าแอปพลิเคชันในสหรัฐฯ มาก (ดังนั้น จึงลงทุนน้อยกว่าในระยะยาว เนื่องจากซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นมีอายุการใช้งานนานกว่าสหรัฐฯ) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่บริษัทญี่ปุ่นจะเอาทีมพัฒนาภายในมาพัฒนาระบบ หรือ แอปฯ ใช้เอง สัดส่วนจึงออกมาต่ำอย่างที่เห็น

อย่างไรก็ตาม นักทีมวิจัยของ UC Berkley ได้ให้หลักฐานที่ชัดเจนว่าข้อโต้แย้งเหล่านี้ไม่ใช่ข้อโต้แย้งเลย ข้อโต้แย้งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า บริษัทญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะ “แข่งขันในด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน (ต้นทุน[เงิน เวลาและแรงงาน] ผลลัพธ์ และคุณภาพ) มากกว่าที่จะแสวงหาการเติบโตของรายได้ใหม่ ๆ ผ่านนวัตกรรม (หรือที่เรียกว่า New S-Cruve)” แต่ถ้าถามว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดนวัตกรรมคืออะไร ใช่แล้วคำตอบก็คือ การลงทุน แปลว่าถ้าไม่ลงทุนกับการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ก็เท่ากับไม่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมนั่นเอง

กลยุทธ์ของบริษัทญี่ปุ่นนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีที่พัฒนาช้า เช่น ฮาร์ดแวร์ แต่ในยุคที่ซอฟต์แวร์เป็นใหญ่ และบริษัทเทคส่วนใหญ่ก็มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างที่เราเห็นจากการเติบโตของ Zoom ในช่วงโควิด หรือแอปฯ วิดีโอสั้นอย่าง TikTok นี่ยังไม่นับเจ้าตลาดอย่าง Facebook , YouTube, Google, AirBnB ทั้งหมดล้วนเป็นซอฟต์แวร์ หาใช่ ฮาร์ดแวร์ไม่ แต่จงดูที่ตัวเลขรายได้และการเติบโต ซึ่งพวกเขาทำตลาดแค่ไม่กี่ปีแต่กลับทำรายได้แซงบริษัทฮาร์ดแวร์ดัง ๆ ของญี่ปุ่นไปแบบลิบลับ

การที่บริษัทในญี่ปุ่นยังคงใช้กลยุทธ์การเติบโตโดยมีฮาร์ดแวร์นำ และเน้นการพัฒนาด้านประสิทธิภาพ ไม่เป็นผลดีกับการเติบโตบริษัทญี่ปุ่นในอนาคตอย่างแน่นอนในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้ และไม่เพียงแค่บริษัทญี่ปุ่นเท่านั้นที่ไม่ให้ความสำคัญของซอฟต์แวร์ แต่ลามไปถึงจากระดับมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นเองก็ไม่คิดแบบนี้เช่นกัน

มาถึงปัจจัยที่ 4 มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นให้ค่าซอฟต์แวร์ต่ำเกินไป

ในช่วงแรก ๆ มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นยังไม่บรรจุหลักสูตรวิทยาการคอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ เข้ามาในการเรียนการสอน ทำให้คาดการณ์ว่าการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีด้านโปรแกรมมิ่ง หรือการเขียนโค้ดของญี่ปุ่นตามหลังสหรัฐอเมริกาอยู่ประมาณ 6 ปี

นอกจากนี้ การขาดคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความสามารถที่จะสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งภาคการศึกษาด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ของญี่ปุ่นให้เดินช้ากว่าประเทศพัฒนาแล้วอยู่เกือบ ๆ จะ 10 ปี ความจริงแล้วญี่ปุ่นเองก็มีผู้บริหารที่มีความสามารถด้านไอทีอยู่หลายคน ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอยู่มาก แต่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะไปสอนการผลิตซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย รวมถึงยังขาดความสามารถในการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสาขานี้ นับว่าปัจจัยด้านการศึกษาทำให้ญี่ปุ่นเป็นรองสหรัฐฯ อยู่มากทีเดียว

นอกจากนี้ ในปี 2012 มหาวิทยาลัยโตเกียว (หรือที่เรียกกันว่า “ฮาร์วาร์ด” ของญี่ปุ่น) มีให้โควตานักเรียนเข้าศึกษาต่อในสาขา วิศวกรไฟฟ้า 150 คน ขณะที่ให้โควตานักเรียนเข้าศึกษาต่อในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ซึ่งก็คือซอฟต์แวร์) เพียง 80 คน

ในทางกลับกัน ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดซึ่งได้ชื่อว่าเป็นที่ผลิตผู้ประกอบการบริษัทเทคฯ ชื่อดังของโลกมีนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าแค่ประมาณ 50 คน แต่ผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (ซอฟต์แวร์) มากถึง 250 คน ถ้าดูแค่ตัวเลขตรงนี้จะเห็นว่า สแตนฟอร์ด ผลิตบัณฑิตด้านไอทีได้มากกว่าที่มหาวิทยาลัยโตเกียวผลิตได้ถึง 5 เท่า

ปัจจัยที่ 5 ญี่ปุ่นเป็นชาติปรับตัวและยอมรับแนวคิดใหม่ ๆ ได้ช้า โดยเฉพาะจากคนรุ่นใหม่

จำกราฟที่แสดงถึงจุดเริ่มต้นของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ได้ไหม ไม่เพียงแต่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เท่านั้นที่จะต้องได้รับการพัฒนาไปพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน แต่ในส่วนของ เวลาในการออกสู่ตลาด หรือ Time to Market ยังจำเป็นที่จะต้องถูกทำลดลงอีกด้วย นี่แหละปัญหาอีกอย่างหนึ่งของวงการเทคฯญี่ปุ่น เพราะพวกเขาออกของเร็วไม่ทันชาติอื่น ๆ นั่นเอง

พูดได้เลยว่าญี่ปุ่นมีคุณค่าพอ ๆ กับสหรัฐอเมริกาในแง่การประเมินมูลค่าซอฟต์แวร์ แม้แต่ในสถานการณ์นี้ญี่ปุ่นก็ยังตามหลังในการพัฒนาซอฟต์แวร์อยู่ดี ซึ่งเป็นผลมาจากวัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่น

คนญี่ปุ่นไม่ทำอะไรเสี่ยง ๆ โดยทั่วไปแล้วคนญี่ปุ่นมักจะมีกฎเกณฑ์เอาไว้จัดการกับความไม่แน่นอน พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เมื่อมีกฎเกณฑ์ก็จะมีขั้นตอนเสมอ ดังนั้น ก็หมายความว่าเราจะรู้ว่าจะต้องทำอะไร ทำอย่างไร นี่แหละคนญี่ปุ่น ผู้ซึ่งชอบที่จะรู้ว่าจะรู้ว่าเมื่อทำอะไรไปจะได้อะไรกลับมา (สิ่งนี้เรียก ความแน่นอน)

ตัวอย่างเช่น หากบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น เช่น Hitachi มีบัณฑิตที่เพิ่งจบใหม่เข้ามาทำงานให้กับบริษัทและคิดค้นซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ขึ้นมา  Hitachi ก็มีแนวโน้มที่จะไม่นำซอฟต์แวร์ใหม่นี้มาใช้ มีแนวโน้มสูงที่บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่มีชื่อเสียงจะเลือกจ้างบริษัทภายนอกเพื่อผลิตซอฟต์แวร์ หรือบริษัทที่มีชื่อเสียงมากกว่าบัณฑิตจบใหม่ แม้ว่าซอฟต์แวร์อาจจะด้อยกว่ามากหรือไม่ว่าซอฟต์แวร์ใหม่จะเหนือกว่าแค่ไหนก็ตาม สิ่งนี้ยังเป็นจริงในสถานการณ์ที่บริษัทสตาร์ตอัปเสนอซอฟต์แวร์ใหม่ให้กับ Hitachi ด้วย

คนญี่ปุ่นไม่เพียงแต่ไม่ชอบความเสี่ยงเท่านั้น แต่โดยธรรมชาติของบริษัทญี่ปุ่นยังไม่คล่องตัวอีกด้วย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปรัชญาการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป อย่าง (Kaizen) ที่ Toyota นำมาใช้ นับแต่นั้นมาแนวคิดนี้ก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานทั่วไปสำหรับบริษัทอื่น ๆ ในญี่ปุ่น

และด้วยอิทธิพลของการไม่ชอบทำอะไร เสี่ยง นี่เอง ทำให้บริษัทญี่ปุ่นมักจะเน้นการวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบก่อนดำเนินการอะไรก็ตาม ซึ่งการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้และพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอย่างรวดเร็วดูจะไม่ใช่ทางที่พวกเขาถนัด และดูจะไม่เหมาะกับวัฒนธรรมประเภทนี้เท่าใดนัก


เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


อ้างอิง

https://www.rieti.go.jp/users/andrei-hagiu/forum/columns/002.html

https://hapasjapan.com/it/

https://www.disruptingjapan.com/the-forgotten-mistake-that-killed-japans-software-industry/

https://www.columbiathreadneedle.co.uk/en/intm/insights/japans-software-revolution-is-making-up-for-lost-time/

https://www.strategy-business.com/article/04105

https://www.eu-japan.eu/sites/default/files/publications/docs/Digital-Transformation-Japan-Assessing-opportunities-forEU-SMEs.pdf

https://www.researchgate.net/publication/279219536_The_Japanese_Software_Industry_What_Went_Wrong_and_What_Can_We_Learn_from_it

https://www.goodfirms.co/directory/country/top-software-development-companies/japan


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer