ในปี 2560 บทเพลงใหม่ในบ้านหลังเล็กๆ LOVEiS (เลิฟอิส) ที่เกิดจาก “บอย โกสิยพงษ์” เจ้าพ่อเพลงรักระดับตำนาน ได้เริ่มต้นอีกครั้งภายใต้ชื่อ LOVEiS Entertainment

พร้อมกับการเข้ามาของ “จี๊บ- เทพอาจ กวินอนันต์” ในตำแหน่ง CEO เพื่อขยายจากค่ายเพลงสู่ธุรกิจบันเทิงครบวงจร โดยมี “หญิง -พิรียา ถีระวัฒนาสวัสดิ์” เป็นกรรมการผู้จัดการ (Managing Director)

ในช่วงปีแรกๆ ยังคงขาดทุนต่อเนื่อง เพราะแรงกดดันในธุรกิจเพลงยุค Streaming ที่ต้นทุนศิลปินและ Production สูง แต่รายได้จากยอดฟังกลับต่ำลง

รวมทั้งยังต้องเจอกับวิกฤตโควิดที่ทำให้ทั้งเมืองเงียบสนิท แสงไฟทุกดวงในฮอลล์ดับลง รายได้หลักจากคอนเสิร์ตและอีเวนต์หายไปจนแทบเป็นศูนย์

แต่ LOVEiS กลับพลิกเกมครั้งใหญ่ เปลี่ยน Business Model ใหม่ เพื่อรับมือกับปัญหาต่าง ๆที่ถาโถมเข้ามา

ในปี 2565 รายได้และกำไรกลับมาอีกครั้งและเติบโตต่อเนื่อง จนพุ่งทะลุเกือบ 500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

ตามไปอ่านเรื่องราวของ ค่ายเพลงรักที่เคยเกือบถูกปิด… สู่ Entertainment Ecosystem ครบวงจรที่แข็งแรงค่ายหนึ่งในยุคที่สมรภูมิบันเทิงไทยกำลังร้อนแรง

พิรียา ถีระวัฒนาสวัสดิ์ Managing Director ของ LOVEiS Entertainment รอต้อนรับทีม Marketeer  เตคุม สตูดิโอเปิดใหม่ของพี่จี๊บในซอยพหลโยธิน 5

ก่อนก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพลงและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เธอทำงานในสาย Sports Agency ดูแลลิขสิทธิ์ฟุตบอลและสปอนเซอร์ให้สโมสรต่างประเทศ ก่อนย้ายไปสยามกีฬาเพื่อทำโปรเจกต์เมืองทอง–สยามกีฬา

“หญิงมองว่า กีฬา กับดนตรี แกนของธุรกิจไม่ต่างกันเลย สุดท้ายคือการบริหาร โปรดักต์  เพียงเปลี่ยนจากการดูแล “นักฟุตบอล”มาเป็น “ศิลปิน”แถมตัวเองก็เป็นแฟนเพลงค่ายนี้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจมาร่วมสร้างเส้นทางใหม่ในวงการดนตรี”

พิรียาเริ่มจาก PR–Branding–Marketing จนต่อมาได้รับบทบาทเป็นกรรมการผู้จัดการ นำทีมธุรกิจบันเทิงเต็มรูปแบบ เป็นการขึ้นมารับตำแหน่งในช่วงที่กดดันมากๆ เพราะบริษัทอยู่ท่ามกลางการขาดทุนและวิกฤตโควิด

พลิกวิกฤติสู่โอกาสครั้งใหญ่ของเลิฟอิส

ช่วงวิกฤตโควิด-19 เลิฟอิสต้องเร่งปรับตัวสู่โลกออนไลน์แบบเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นการทำไลฟ์คอนเสิร์ต, ให้ศิลปินขายของหรือรีวิวสินค้าออนไลน์ แม้รายได้จากไลฟ์ยังไม่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด แต่ช่วยพยุงบริษัท และที่สำคัญที่สุดคือ ช่วยให้ศิลปินและทีมงานยังอยู่รอดไปด้วยกัน

วิกฤตครั้งนั้นทำให้เลิฟอิสตระหนักว่า “ค่ายเพลงไม่ใช่แค่ผลิตศิลปิน–ทำซิงเกิล–ส่งขึ้นเวทีผับหรือคอนเสิร์ต” อีกต่อไป ธุรกิจต้องก้าวไปไกลกว่านั้น เช่น การทำแคมเปญออนไลน์ให้ลูกค้า, ให้ศิลปินเป็นอินฟลูเอนเซอร์–พรีเซ็นเตอร์, ทำเพลงโฆษณา หรือเพลงองค์กร ซึ่งกลายเป็นรายได้สำคัญอีกทางหนึ่ง

จากบทเรียนโควิด เลิฟอิสจึงตัดสินใจตั้งธุรกิจใหม่ในรูปแบบ เอเจนซี่ออนไลน์ ขึ้นมาเคียงคู่กับค่ายเพลง เพื่อดูแลแบรนด์ลูกค้าอย่างจริงจัง และสร้างรายได้จากหลายช่องทาง เพื่อให้บริษัทแข็งแรงขึ้นในระยะยาว

เมื่อโมเดลธุรกิจใหม่เริ่มเดินหน้า Cash Flow ก็เริ่มกลับมา พร้อมกับการเติบโตของศิลปินหลายคนที่โดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ

“Turning Point” สำคัญ เมื่อศิลปินกลายมาเป็นผู้บริหาร

จุดเปลี่ยนสำคัญอีกอย่างของค่ายนี้อยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำ

“วิสัยทัศน์ของพี่จิ๊ป คือกุญแจที่พลิกเกมครั้งใหญ่ ด้วยการผลักดันให้ศิลปินบางคนที่มีศักยภาพก้าวขึ้นมาเป็น ผู้บริหารค่ายย่อยได้ด้วย ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ทำให้แผนกมิวสิกของเลิฟอิสแตกแขนงเป็นหลายทิศทาง มีค่ายย่อยที่มีเอกลักษณ์และแนวเพลงต่างกัน สามารถตอบโจทย์ตลาดได้หลากหลายขึ้น แทนที่จะเป็นแค่เพลงรักสไตล์เดิม ๆ แบบเมื่อก่อน”

ถามว่าทำไมไม่ทำเอง พิรียาอธิบายว่า

“อย่างเช่น วง PiXXiE เราทำทีป๊อปแบบนั้นไม่ได้ ทั้งร้องและเต้น ภาพจำของเลิฟอิสแบบเดิมอาจจะไม่เหมาะกับการทำตลาดแนวนี้ การให้ค่ายลูก LIT Entertainment ที่เข้าใจวัฒนธรรมทีป๊อปจริง ๆ ทำ จึงดีกว่า”

หรือค่ายที่ทำเพลงสายอินเตอร์ ซึ่งไม่ใช่ภาพของเลิฟอิสแบบเดิมเช่นกัน การแยกแบรนด์ออกไปทำให้วางตำแหน่งสินค้าได้ตรงตลาดมากขึ้น และเมื่อเราไม่ได้ถนัดในสิ่งนั้นก็ควรถอยให้คนอื่นทำ

เมื่อศิลปินก้าวขึ้นมาสู่บทบาทผู้บริหาร ศิลปินจะเข้าใจทั้งแฟนคลับตัวเองและวิธีทำงานของค่าย เพราะเคยผ่านระบบมาแล้ว พอออกไปบริหารค่ายของตัวเอง ก็จะรู้ว่าค่ายเดิมต้องแบกรับอะไรบ้าง ทำให้มองกันด้วยความเข้าใจมากขึ้น สามารถดูแล “ค่ายย่อย” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โครงสร้างองค์กรเติบโตในหลายทิศทาง โดยไม่สูญเสียดีเอ็นเอของแบรนด์

วันนี้ศิลปินในค่ายเลิฟอิสจะมีประมาณ 16 คน ศิลปินแต่ละคนมีแฟนคลับและเส้นทางของตัวเอง ทุกเบอร์มี “ฐานแฟน” ของตัวเองที่ค่อนข้างชัด อย่างเช่น  นนท์ ธนนท์ ที่มีฐานแฟนกว้างมาก

ส่วนค่ายอื่นๆ ในเครือ เช่น LIT Entertainment จะเป็นศิลปิน T-POP นำทีมโดย PiXXiE ค่าย HOLYFOX โดย WANYAi (พี่โอ แว่นใหญ่) และค่ายอื่นๆ เช่น Juicey (ฝั่งเพลงอินเตอร์), Kiddo Records (แนวเพลงวัยรุ่น), tiny BKK (แนวเพลงร็อก)

การมีศิลปินที่แข็งแรงในหลายเซ็กเมนต์ ทำให้ชื่อเลิฟอิสถูกพูดถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าผู้ฟังจะชอบแนวไหน จึงยังคงเป็นค่ายเพลงที่อยู่ในความสนใจและอยู่ใน “Top of Mind” ของแฟนเพลงหลากหลายกลุ่มตลอดเวลา

ปัจจุบัน โครงสร้างธุรกิจของเลิฟอิสครอบคลุมครบทั้งฝั่งเพลงและธุรกิจบันเทิง ตั้งแต่การสร้างสรรค์ผลงานดนตรีที่มีคุณภาพ และกิจกรรมอีเวนต์ เฟสติวัล คอนเสิร์ต และอีกมากมาย รวมถึงการพัฒนาศิลปินให้มีคุณภาพ ทั้งงานเพลง งานแสดง งานเดินแบบ งานถ่ายแบบ งานพิธีกร และ Creator & Influencer

อีกทั้งยังเปิดยูนิตใหม่เพิ่มขึ้นในพาร์ทของ marketing agency เพื่อทำให้ครบทั้งหมดของฟังก์ชั่นบันเทิงแบบ One stop service ตั้งแต่คิดวางแผน ดูแลแคมเปญ ตลอดจน Monitor performance

ทุกส่วนทำงานเชื่อมต่อกันเป็นวงจรธุรกิจครบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ช่วยผลักดันกันและกันให้เติบโต

“แม้วันนี้ เลิฟอิสจะก้าวจาก ค่ายเพลงรักสู่ “Entertainment ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ”  แต่ดีเอ็นเอสำคัญยังเหมือนเดิมค่ะ คือการสร้างบ้านที่ทุกคนมีอิสระในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบของความจริงใจ การดูแลกัน และการเติบโตไปด้วยกัน”

ใครคือแฟน เลิฟอิส

ในแง่ฐานแฟนเพลงและผู้ติดตาม เลิฟอิสมีความหลากหลายมากตั้งแต่วัย 10 กว่าขวบ ที่เริ่มเข้ามาฟังเพลงและติดตามศิลปินรุ่นใหม่ ไปจนถึงวัย 40–50 ปี ที่ผูกพันกับเพลงรักยุคแรก ๆ ของเลิฟอิส แต่กลุ่มลูกค้าหลัก (Core Audience) อยู่ในช่วงวัย 25–40 ปี เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ สนใจคอนเสิร์ต ไลฟ์สไตล์ และพร้อมสนับสนุนศิลปินที่รักอย่างจริงจัง

เมื่อศิลปินสามารถทำค่ายเอง ปล่อยเพลงเองได้ เลยเกิดคำถามว่า “ค่ายเพลงยังจำเป็นไหม”

พีรียา อธิบายว่า ปัจจุบันศิลปินที่มีความสามารถครบ เขียนเพลงเอง โปรดิวซ์เอง ทำการตลาดเอง สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีค่าย แต่สำหรับศิลปินที่ยังต้องการระบบสนับสนุน ค่ายเพลงยังมีความจำเป็นอยู่มาก

ส่วนศิลปินอินดี้ที่ไม่ต้องการระบบเหล่านี้ ก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละคน ในอนาคต ทุกคนจะสามารถเป็นศิลปินหรือครีเอเตอร์ได้ง่ายขึ้น เพราะข้อจำกัดจะน้อยลง แต่การแข่งขันจะรุนแรงกว่าเดิมมาก

“ดังนั้น ค่ายเพลงต้องหาจุดแข็งของตัวเองให้ชัดว่า เรามอบ “คุณค่าอะไร” ที่ศิลปินทำเองไม่ได้ และทำไมเขาจึง “ต้องมีเราอยู่”

“ทำงานกับงานไม่เหนื่อยเท่าทำกับคน และเมื่อคนนั้นคือ ‘ศิลปิน’ ทุกสิ่งยิ่งท้าทาย”

เป็นประโยค พิรียากล่าวอย่างจริงใจ พร้อมย้ำว่าแต่นี่คือเสน่ห์ของงานในโลกเอ็นเตอร์เทนเมนต์

วิธีตั้งรับคือ คุยกันตั้งแต่วันแรก ให้เข้าใจนิสัย ความคิด ทัศนคติของศิลปินให้ชัด แล้วพยายาม “ไม่เปลี่ยนตัวตนเขา” แต่ช่วยแต่ง–เสริมให้ตรงกับทิศทางงานและแฟนคลับมากขึ้น

“ถ้าศิลปินอยากเป็นศิลปินแต่ “ไม่มีแพชชั่น” คงไปต่อด้วยกันยากค่ะ เพราะจะกลายเป็นว่าค่ายต้องออกแรงฝ่ายเดียว ในทางกลับกัน ถ้าศิลปินมีแพชชั่น แม้หน้าตา หรือพื้นฐานอย่างอื่นยังไม่สมบูรณ์ ค่ายพร้อมจะช่วย”

เธอยอมรับว่า เด็กรุ่นใหม่หลายคนเก่งเร็ว เพราะเติบโตมากับโซเชียล–แพลตฟอร์มต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ข้อเสียคือ “เข้ามาง่าย ก็ออกไปง่าย” บางคนอาจจะเชื่อมั่นตัวเองสูงมากจนไม่อยากฟังใคร

เวลาทำงานกับศิลปิน Gen Z เธอบอกว่าต้อง ฟังเยอะ ๆ เพราะเด็กสมัยนี้เข้าใจเทรนด์และโลกไวมาก เราเองต้องเรียนรู้จากเขาด้วย ไม่ใช่แค่สอนเขาอย่างเดียว

“พี่จิ๊ปจะพูดเสมอว่า เด็ก Gen Z – Gen Alpha ให้วิธีคิดมากกว่าที่เราคิด แล้วกลุ่มนี้ไม่ใช่เหรอที่เราอยากได้เป็นทาเก็ต ถ้าเราไม่เรียนรู้เขา ไม่รับฟังเขา เราจะไปนั่งในใจเขาได้อย่างไร”

“Chapter ต่อไปของเลิฟอิส”

ปีหน้าเลิฟอิสต้องขยับเชิง Global ให้มากขึ้น เพราะตอนนี้ในไทยเราค่อนข้างครอบคลุมทุกด้าน กำลังวางแผนว่าจะพัฒนาศิลปินคนไหนอย่างไร หรือจะออกไปต่างประเทศในแนวทางไหนบ้าง

“เลิฟอิสมีแพลนโปรเจกต์กับเกาหลี แต่ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ค่ะ และมีศิลปินหลายคนที่อยากผลักดันออกนอกประเทศ อย่างนนท์ ก็มีแพลน Asia Tour ส่วน ตลาดจีนก็เป็นเป้าหมายสำคัญ ค่ายที่มีไปทัวร์จีนอยู่แล้ว คือน้องวง PiXXiE ค่าย LIT Entertainment ของโดม จารุวัฒน์”

ส่วนในเรื่องของแนวเพลงจะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ  เช่น ปีนี้ฮิปฮอป ปีหน้าร็อก ปีต่อไปอาจเป็นทีป๊อป ค่ายจึงต้องจับเทรนด์และปรับตัวให้ทันเสมอ เป้าหมายสำคัญของ เลิฟอิส คือต้องอยู่ในกระแส และเป็น Top of Mind ของคนฟังให้ได้ ไม่ว่าเทรนด์เพลงจะเปลี่ยนไปแบบไหน

ทำอย่างไรให้เพลง–ศิลปิน–ค่าย กลายเป็นเหมือนดิสนีย์แลนด์ในใจแฟน ทุกยอดสตรีม ทุกบัตรคอนเสิร์ตที่ขายหมดใน 10 นาที มาจากแฟนทั้งนั้น เลิฟอิสจึงมองว่าแฟนคลับคือหัวใจของธุรกิจ ต้องดูแลด้วยความจริงใจทุกงานที่ออกไป อยากให้แฟนคลับรู้สึกว่า “ได้รับประสบการณ์ที่ดี และไม่เหมือนที่อื่น”

เธอเปรียบเทียบเลิฟอิสกับ “ดิสนีย์แลนด์” ในเชิงประสบการณ์ ว่าอยากให้คนที่เข้ามา รู้สึกประทับใจ

“เราไม่ได้ขายเพลง เราขายความทรงจำและประสบการณ์ที่แฟนต้องประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ”

เมื่อ Marketeer ถามว่า “ในฐานะ MD การตัดสินใจอะไรยากที่สุด” เธอยิ้มคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า

“สิ่งที่ยากที่สุดคือ วันที่ต้องบอกเลิกสัญญากับศิลปิน ค่ะ โดยเฉพาะถ้าสุดท้ายเขาไม่ได้เติบโตอย่างที่หวัง มันจะรู้สึกกระทบใจมาก”

แต่ในเรื่องการบริหารหลังบ้านโดยรวม ยังไม่เคยเจอการตัดสินใจที่รู้สึกโดดเดี่ยวมาก เพราะมีทีมที่พร้อม Support ทุกครั้งที่เลือกทิศทางใหม่ เพราะพวกเขาบอกว่าถ้าพี่อยากไปทางนี้ หนูไปด้วย” ทำให้ทุกการตัดสินใจไม่ใช่ภาระของเราคนเดียว

วันนี้ เลิฟอิสยังมีหนทางอันยาวไกลในการพิสูจน์ตนเองบนถนนสายดนตรีและบรรเทิง  แต่เมื่อความรัก ความเชื่อ และความกล้า…ถูกขับเคลื่อนด้วยผู้นำและทีมงานที่ไม่ยอมแพ้  ทุกความเป็นไปไม่ได้…ถูกพิสูจน์ว่าเป็นไปได้เสมอ

 

 

 

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer