SME Think Tank/ดร.เกษม พิพัฒน์เสรีธรรม

ระยะนี้การเมืองประเทศไทยมีเรื่องวุ่น ๆ เพราะนักการเมืองที่บกพร่องทั้งแบบถาวรและแบบบังเอิญหลายรายหลายเรื่อง น่าสงสารประเทศไทยที่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง คนไทยกันเองก็เลือกแบบบกพร่อง ไม่ได้สแกนนักการเมืองแบบทะลุปรุโปร่ง

ถ้าเปรียบเป็นการบริหารงานก็เหมือนวางผู้บริหารผิดกับงาน หรือเป็นผู้บริหารที่ว่าไปแล้วก็บริหารงานอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะอ่อนประสบการณ์และความรู้ความสามารถในงานที่เขาไว้วางใจให้ทำ
อย่างเช่น สินค้าด้อยคุณภาพจากประเทศจีนรุกตลาดเราอย่างหนัก ทั้งขายออนไลน์ (ไม่เสียภาษีถูกต้อง) และมาเปิดร้านเปิดโรงงานในประเทศไทยจนตีตลาดสินค้าไทยพ่ายยับเยิน

แต่ รมว. พาณิชย์กลับไปทุ่มเทความพยายามขายข้าวค้างสต๊อก (เน่า?) และจัดงานลดราคาสินค้าแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า ไม่บริหารงานให้ถูกต้อง จนโรงงานของคนไทยหลายรายปิดไปเพราะแข่งขันไม่ได้

ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีก็ทุ่มเทกับการเดินทางแสดงตัวเป็นเซลส์แมนขายโปรเจกต์ต่าง ๆ แบบไม่มีผลงานสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน จนต้องไปเพราะบริหารงานผิดพลาดในการตั้ง รมต. ถุงขนม

เราเพิ่งได้นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยอ่อนประสบการณ์ จากค่ายเดิม ๆ ก็ไม่รู้ว่าการบริหารของท่านจะเป็นอย่างไร หรืออาจจะบกพร่องโดยบังเอิญ หรือโดยสุจริต (ทุจริต) คงต้องรอดูผลงานและให้กำลังใจท่าน หวังว่าท่านจะมีผลงานที่ช่วยคนไทยทุกคนไปต่อได้แบบที่ท่านชอบพูดติดปาก

หลักการบริหารที่สำคัญ คือ ต้องมีผู้บริหารงานที่ใช่และทำงานเป็น

ในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน หากทีมงานดีแต่ได้ผู้บริหารที่มาแบบบังเอิญ ไม่มีฝีมือในการบริหารงานบริหารคน องค์กรนั้น ๆ ก็ไปต่อลำบาก หรือทีมงานส่วนใหญ่ก็ขอไปทำงานที่อื่นดีกว่า

อาการหลัก ๆ ของผู้บริหารงานที่ด้อยประสิทธิภาพที่พบได้บ่อย ๆ ในองค์กรมีประมาณนี้

1. ขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการฟัง เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะหากผู้บริหารไม่สามารถสื่อสารกับทีมงานได้อย่างชัดเจนถึงเป้าหมายและงานที่มอบหมายให้ทำ ทีมงานย่อมไม่สามารถทำงานได้ดี หรือผู้บริหารที่เอาแต่พูด (สั่ง) โดยไม่รับฟังทีมงาน หรือฟังแบบผ่าน ๆ ไม่มีศิลปะในการพูดให้กำลังใจชื่นชมเมื่อทีมงานทำงานสำเร็จ หรือไม่รู้จักการพูดว่ากล่าวติชมแบบสร้างสรรค์เมื่อทีมงานทำงานไม่ได้ตามเป้าหมาย ไม่มีการให้การอบรมเพิ่มเติมแก้ไข ถ้าผู้บริหารเป็นแบบนี้คงต้องทำงานคนเดียวหรือทำงานกับทีมงานที่คอยแต่จะเอาใจ ทำให้ผู้บริหารหลงตัวเองไปกันใหญ่

2. ขาดความไว้วางใจทีมงาน ชอบล้วงลูก ผู้บริหารบางรายเชื่อมั่นว่าตนเองเก่งที่สุด (แบบใครบางคนที่หลงตัวเองมาหลายสิบปี) ไม่ไว้วางใจทีมงานในงานที่มอบให้ทำ คอยดูแลใกล้ชิดแบบหายใจรดต้นคอตลอด แบบนี้ทีมงานคงออกอาการเซ็งทำงานไม่ได้

ปัญหาอีกด้านของเรื่องนี้คือ ผู้บริหารไม่สนใจทีมงานบางคน ไม่ดูแลควบคุมติดตามการทำงาน งานที่ได้ก็ย่อมไม่ดี ผู้บริหารแบบนี้เป็นแบบเอาแต่ใจบริหารงานแบบตามใจตัวเองเป็นหลัก

3. เอาแต่พวกตนเอง ผู้บริหารแบบนี้จะชื่นชอบและให้รางวัลเฉพาะทีมงานหรือพนักงานที่ตนเองชอบเป็นพวกเดียวกันเอง จนทีมงานที่เหลือเป็นเสมือนคนที่ถูกลืม สุภาษิตไทยว่าผู้บริหารแบบนี้ว่าเป็นผู้มีความผิดปกติทางสายตา แบบว่าตาเล็กตาใหญ่ เห็นดีเห็นงามเฉพาะคนที่ตนเองชอบ หากบริหารแบบนี้ย่อมไม่สร้างให้พนักงานทำงานร่วมกันเป็นทีม เกิดความแตกแยก และพนักงานที่ขาดการเหลียวแลลาออกจากไปในที่สุด

4. สับสนระหว่าง “ความเป็นธรรม” กับ “ความเท่าเทียม” ผู้บริหารแบบนี้แยกแยะไม่ออกระหว่างความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกันของพนักงาน ตามกฎหมายแล้วบุคคลย่อมมีความเท่าเทียมกัน มีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีเพศ เพศสภาพ ความพิการ ฯลฯ หากได้รับเป็นพนักงานแล้วทุกคนเท่าเทียมกัน

เรื่องความเท่าเทียมกันของพนักงานเป็นคนละเรื่องกับความเป็นธรรมของผู้บริหาร

ผู้บริหารที่ดีต้องให้ความเป็นธรรมกับพนักงานทุกคน ชื่นชมให้รางวัลพนักงานตามผลงานที่เป็นธรรม ไม่ใช่ผลงานเท่ากันเหมือนกัน พนักงานคนหนึ่งได้ผลตอบแทนมากกว่าพนักงานอีกคนหนึ่งแบบไม่สามารถให้เหตุผลได้

5. คอยจับผิดพนักงาน ผู้บริหารแบบนี้วัน ๆ ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คอยแต่ดูว่าพนักงานคนไหนทำผิดเรื่องอะไร ทั้งที่หลายเรื่องอาจเกิดเพราะปัจจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือหลายเรื่องอาจจะเกิดจากความผิดพลาดของผู้บริหารเอง ย่อมไม่มีพนักงานคนไหนชอบการทำงานภายใต้ความกดดันแบบนี้ หากไม่ลาออกก็ทำงานแบบกลัว ๆ ไม่กล้าทำงานหรือออกความเห็นอะไรที่อาจจะขัดใจผู้บริหาร หรือทำงานตามที่ผู้บริหารสั่งอย่างเดียว ผู้บริหารทำงานแบบทำไปวัน ๆ ทีมงานก็เลยทำงานแบบทำไปวัน ๆ เหมือนกัน

6. บริหารแบบให้ทีมงานกลัว ผู้บริหารแบบนี้เก่งในการบริหารอำนาจ ชอบว่ากล่าว ไม่ให้เกียรติพนักงาน พูดง่าย ๆ ว่านึกจะว่าโวยวายก็ว่ากล่าวพนักงานแบบไม่ไว้หน้า ต่อหน้าพนักงานคนอื่น ๆ ชอบข่มขู่ พนักงานย่อมมีสภาพจิตที่ไม่ดี ไม่อยากทำงาน แล้วผลผลิต ประสิทธิภาพโดยรวมก็ย่อมตกต่ำ

7. ไม่รู้จักตนเอง ปัญหานี้สำคัญที่สุดและอาจเป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมดที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ผู้บริหารแบบนี้ไม่รู้จักตนเอง ไม่เคยสังเกตปฏิกิริยาของทีมงาน หรือพยายามเข้าใจทีมงาน ไม่เคยคิดพิจารณาตนเองว่าเป็นต้นเหตุของการขาดประสิทธิภาพของทีมงานหรือไม่ คอยแต่คิดโทษคนอื่น โทษปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตนเอง หลายท่านเรียกอาการแบบนี้ว่า “หลงตัวเอง” หากผู้บริหารเป็นแบบนี้ก็พังทั้งองค์กร

ความจริงยังมีสาเหตุอีกมากของผู้บริหารแบบขาดประสิทธิภาพแบบว่าเขียนไปอีกหลายหน้ากระดาษก็ไม่พอ

จากการสำรวจพบว่ากว่า 50% ที่พนักงานไม่ตั้งใจทำงาน ลาออกก็เพราะผู้บริหาร (แย่ ๆ) แบบนี้
ผู้บริหารที่ดีมีประสิทธิภาพต้องเก่งทั้งเรื่องบริหารงานและบริหารคน

เพราะฉะนั้นเมื่อท่านจะมอบหมายแต่งตั้งให้ใครเป็นผู้บริหาร ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่รีบ ๆ แบบบังเอิญ หรือแบบการเมืองไทย ๆ (ที่น่าจะพอได้แล้ว) ที่คิดจะตั้งใครเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บริหารภาครัฐ ก็คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ พรรคพวก ไม่ได้คำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนแบบที่ชอบพูดกันบ่อย ๆ เสมอ ๆ

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer