การประท้วงหยุดงานของแรงงานท่าเรือในสหรัฐอเมริกาเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อวงการขนส่งทางน้ำไปทั่วโลก เนื่องจากท่าเรือของสหรัฐฯ เป็นประตูการค้าที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะท่าเรือฝั่งตะวันตกที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างเอเชียและอเมริกาเหนือ การหยุดชะงักของการดำเนินงานในท่าเรือเหล่านี้จึงไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลกโดยรวม การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการรับมือกับสถานการณ์นี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
จุดเริ่มต้นการประท้วง
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์คนของสมาคมคนงานท่าเรือระหว่างประเทศ (International Longshoremen’s Association : ILA) กว่า 45,000 คนได้หยุดงานประท้วงที่ท่าเรือหลัก 36 แห่งตลอดแนวชายฝั่งตะวันออกและอ่าวเม็กซิโก ทำให้การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากรัฐเมนถึงเทกซัสหยุดชะงัก โดยเริ่มหยุดงานประท้วงตั้งแต่เที่ยงคืนของวันอังคารที่ 1 ตุลาเป็นต้นไป
การหยุดงานประท้วงของคนงานท่าเรือในครั้งนี้ถือเป็นการหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี โดยอาจสร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยคนงานท่าเรือในสหรัฐฯ เริ่มหยุดงานอันเนื่องจากข้อพิพาทด้านแรงงานกับกลุ่มนายจ้างนั่นก็คือ United States Maritime Alliance (USMX) หลังจากสัญญาจ้าง อายุ 6 ปีกำลังจะสิ้นสุดลง
สำหรับสัญญาฉบับใหม่นี้ ILA ต้องการให้ USMX เพิ่มค่าจ้างขึ้น 77 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 6 ปี และห้ามนำเครื่องจักรระบบอัตโนมัติใด ๆ เข้ามาใช้กับงานที่ท่าเรือ เนื่องจากคนงานเชื่อว่าจะคุกคามงานของพวกเขา
แผนที่แสดงท่าเรือขนส่งสินค้าในแนวชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ
สาเหตุของการประท้วง
การประท้วงครั้งนี้มีรากเหง้ามาจากปัญหาที่สะสมมายาวนานในอุตสาหกรรมท่าเรือ โดยสาเหตุหลักที่นำไปสู่การหยุดงานคือ ปัญหาเรื่องค่าตอบแทนและสวัสดิการ ในขณะที่ค่าครองชีพในเมืองท่าสำคัญของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าแรงของคนงานท่าเรือกลับไม่ได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเรื่องความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงานของแรงงานท่าเรือซึ่งกังวลว่าจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
โดย ILA เรียกร้องให้ USMX เพิ่มค่าจ้างขึ้นอีก 77% เป็นเวลา 6 ปี ซึ่งเท่ากับการขึ้นค่าจ้าง 5 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงในแต่ละปี ในทางตรงกันข้าม U.S. Maritime Alliance ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทเดินเรือและผู้ประกอบการท่าเรือ ได้เสนอให้เพิ่มค่าจ้างให้เกือบ 50% ซึ่งสหภาพแรงงานยังไม่พอใจ
แรงงานท่าเรือบอกว่าบริษัทได้กำไรหลายหมื่นล้านแต่พวกเขาได้รับค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม: AP
นอกจากนี้คนงานท่าเรือยังมีความกังวลถึงการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการดำเนินงานของท่าเรือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่องานของพวกเขา พวกเขาพยายามหามาตรการป้องกันที่เข้มงวดยิ่งขึ้นจากระบบอัตโนมัติ โดยกลัวว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เครนอัตโนมัติและรถบรรทุกไร้คนขับอาจเข้ามาแทนที่แรงงานคน
การนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในการดำเนินงานท่าเรือมากขึ้นได้สร้างความกังวลเรื่องความมั่นคงในการทำงาน คนงานหลายคนเกรงว่าตำแหน่งงานของพวกเขาจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรในอนาคตอันใกล้ ประกอบกับปัญหาด้านความปลอดภัยในการทำงานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งในแง่ของมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอและการขาดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม ปัจจัยเหล่านี้รวมกันได้ผลักดันให้แรงงานตัดสินใจใช้การประท้วงหยุดงานเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง
ผลกระทบจากการประท้วง
การที่ท่าเรือหยุดทำงานนั่นหมายถึงว่า ของจะเข้า เข้าไม่ได้ ของจะออก ออกไม่ได้ คิดภาพแค่นี้ก็จินตนาการออกได้เลยว่ามูลค่าความเสียหายนั้นสูงอย่างแน่นอน โดยความรุนแรงของผลกระทบก็ขึ้นอยู่กับว่าการหยุดงานนั้นจะยืดเยื้อไปนานเพียงใด ซึ่งยิ่งนานก็ยิ่งเสียหายหนัก นี่เลยเป็นวาระแห่งชาติที่ประธานาธิบดีต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไม่เสียหายไปมากกว่านี้ ทีนี้เราลองมาดูว่านักเศรษฐศาสตร์และสำนักข่าวด้านเศรษฐกิจแต่ละค่ายประเมินความเสียหายไว้ในมิติใดบ้างและคิดเป็นมูลค่าประมาณเท่าใด
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
- ต้นทุนต่อเศรษฐกิจ
มีการคาดการณ์ว่า การหยุดงานประท้วงในครั้งนี้จะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 4,500 ล้านดอลลาร์ถึง 7,500 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจทำให้ GDP ปีของปี 2024 ลดลงไป 0.1% ได้เลย
- สินค้าเข้าออกไม่ได้
ในช่วงที่การหยุดงานถึงขั้นที่ไม่มีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ เลย จะทำให้มีเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์อย่างน้อย 45 ลำไม่สามารถขนถ่ายสินค้าได้ ทำให้เกิดการค้างส่งที่ท่าเรือตั้งแต่รัฐเมนไปจนถึงเทกซัส ความแออัดดังกล่าวขัดขวางการไหลของสินค้าและการจัดส่งในหลายอุตสาหกรรมล่าช้า
- ผลกระทบต่อการขนส่งและการจัดเก็บสินค้า
คาดว่าภาคการขนส่งและการจัดเก็บสินค้าจะได้รับผลกระทบในทันที โดยคนงานหลายหมื่นคนอาจต้องถูกพักงานชั่วคราวหรือต้องลดชั่วโมงการทำงานลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้คนประมาณ 100,000 คน
- เงินเฟ้อสูงชั่วคราวและการขาดแคลน
ในขณะที่การขาดแคลนในช่วงแรกนั้นไม่รู้สึกได้ทันทีเนื่องจากบริษัทต่าง ๆ เร่งส่งสินค้าออกไปก่อนการหยุดงาน แต่การหยุดชะงักเป็นเวลานานอาจส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและสินค้าจำเป็นก็จะเริ่มเกิดการขาดแคลน โดยเฉพาะสินค้าเน่าเสียง่าย เช่น ผลไม้และอาหารทะเล นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหลังจากหยุดงานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ราคาของสินค้า เช่น กล้วยและกาแฟ อาจเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากสินค้ามีน้อยลง
ตู้คอนเทนเนอร์ถูกเคลื่อนย้ายที่ท่าเรือนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ในเมืองเอลิซาเบธ รัฐนิวเจอร์ซีย์ : AP
รัฐบาลเข้าแทรกแซงก่อนปัญหาจะลุกลามบานปลาย
การประท้วงไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เท่านั้นแต่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในฝีมือการแก้ปัญหาของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วย รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันและกลุ่มอุตสาหกรรมหลายร้อยกลุ่มที่กดดันให้โจ ไบเดนเข้าไปเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหา โดยสภาเตือนว่าหากปล่อยให้การหยุดงานยังคงดำเนินต่อไป ห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับความเสียหายและอาจจะแผ่วงกว้างออกไป
แต่ประธานาธิบดีไบเดนก็ไม่ได้แสดงสัญญาณว่าจะใช้กฎหมาย Taft-Hartley ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีแทรกแซงการหยุดงานประท้วงได้ โดยให้คำมั่นว่าจะปล่อยให้กระบวนการเจรจาต่อรองดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น
“ผมไม่เชื่อในกฎหมาย Taft-Hartley” ไบเดนให้สัมภาษณ์กับนักข่าวไม่กี่วันก่อนการประท้วงหยุดงาน โดยอ้างถึงกฎหมายของรัฐบาลกลางที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีเรียกร้องให้มีช่วงเวลาพักการดำเนินการ 80 วันเมื่อความปลอดภัยของประเทศตกอยู่ในความเสี่ยง
พระราชบัญญัติ Taft-Hartley หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า พระราชบัญญัติ Labor Management Relations Act of 1947 เป็นกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่สำคัญฉบับหนึ่งที่มุ่งควบคุมสหภาพแรงงานและจำกัดอำนาจของสหภาพแรงงาน พระราชบัญญัตินี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 1947 หลังจากรัฐสภาล้มล้างการยับยั้งอำนาจของประธานาธิบดี Harry S. Truman
พระราชบัญญัติ Taft-Hartley ให้สิทธิแก่ประธานาธิบดีในการเข้ามาแทรกแซงในช่วงที่มีการหยุดงานประท้วงซึ่งถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ หากการหยุดงานดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยหรือเศรษฐกิจของประเทศ ประธานาธิบดีสามารถระงับการหยุดงานได้เป็นเวลา 80 วัน ช่วงเวลาพักการหยุดงานดังกล่าวจะช่วยให้มีเวลาในการเจรจาและป้องกันไม่ให้เกิดการหยุดชะงักเพิ่มเติม
ประมาณ 12 ชั่วโมงหลังจากการหยุดงานเริ่มขึ้นในวันอังคาร ประธานาธิบดี ไบเดน ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พันธมิตรทางทะเลของสหรัฐฯ เสนอสิ่งที่เขาเรียกว่า “ข้อเสนอที่ยุติธรรม” โดย ไบเดน อ้างถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นกว่า 800 เปอร์เซ็นต์ที่ผู้ให้บริการเดินเรือบางรายได้รับในช่วงของการระบาดของโควิด
“เป็นเรื่องยุติธรรมที่คนงานซึ่งเสี่ยงชีวิตระหว่างการระบาดใหญ่เพื่อให้ท่าเรือยังดำเนินการเปิดต่อไปสมควรจะได้รับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน” ข้อความส่วนหนึ่งในแถลงการณ์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ข้อความของไบเดนถึงบริษัทต่าง ๆ ยังเกี่ยวข้องกับความพยายามบรรเทาทุกข์จากพายุเฮอริเคน โดยระบุว่าคนงานท่าเรือมีบทบาทสำคัญในการจัดส่งสิ่งของจำเป็นไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเฮเลน ไบเดน บอกว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ผู้ให้บริการเดินเรือจะปฏิเสธการเจรจาค่าจ้างที่ยุติธรรม
ขณะเดียวกัน ผู้นำระดับสูงในรัฐบาลของไบเดน รวมถึงที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ ลาเอล เบรนาร์ด, หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว เจฟฟ์ เซียนต์ส และ จูลี ซู รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ได้โทรศัพท์พูดคุยกับบริษัทเดินเรือต่างชาติและสหภาพแรงงานอยู่หลายครั้ง หลังจากกดดันกันมาหลายวัน บริษัทต่าง ๆ ก็ตกลงที่จะยื่นข้อเสนอที่สูงขึ้น สหภาพแรงงานก็ยอมรับข้อเสนอนั้น และตกลงที่จะขยายสัญญาออกไป เพื่อให้การเจรจาในประเด็นอื่น ๆ ทั้งหมดดำเนินต่อไปได้
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://www.npr.org/2024/10/03/nx-s1-5139450/dockworkers-port-strike-deal
https://www.bbc.com/news/articles/c3vkdp3rx17o
–



