เมื่อย้อนกลับไปราวสิบกว่าปีก่อน มัลติบิวตี้สโตร์ยังเป็นธุรกิจที่ยังไม่มีคนรู้จัก ผู้บริโภคจะคุ้นเคยกับ Watson หรือ Boots มากกว่า แต่การเป็นร้านที่รวมเอาสินค้าเกี่ยวกับความงามตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะตัวชูโรงคือเครื่องสำอางที่รวบรวมทุกแบรนด์ดังไว้ในร้านแบบครบจบในที่เดียวนั้นยังไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก
แต่ปัจจุบันเกิดมัลติบิวตี้สโตร์ในไทยขึ้นมาหลายแบรนด์ และกลายเป็นธุรกิจทำเงินที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก เพราะธุรกิจความงามคือตลาดที่ไม่เคยเงียบเหงา ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด การดูแลภาพลักษณ์ให้ดูดีเสมอคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน
มัลตี้ (MULTY) ร้านค้าปลีกเครื่องสำอางที่รวบรวมแบรนด์เครื่องสำอางเกาหลี หรือผลิตภัณฑ์ความงามที่เป็นกระแส และหายาก รวมกว่า 400 แบรนด์
คุณไพลิน อึ๊งพลาชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลตี้ บิวตี้ จำกัด กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาการแข่งขันในตลาดเครื่องสำอางคึกคักอย่างมาก ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอก โดยเฉพาะเครื่องสำอางจีนที่ครองกระแสฮิตตลอดปี คนเริ่มหันไปทดลองตามเทรนด์แต่งหน้าแบบสาวจีนที่กำลังมาแรง ซึ่งนั่นทำให้ร้านลดสัดส่วนแบรนด์เกาหลีลงมาอยู่ที่ 50% แต่การมีจุดขายที่เป็นร้านเครื่องสำอางเกาหลี ทำให้บริษัทมองว่าในปีหน้าสัดส่วนของแบรนด์เกาหลีควรทำให้กลับขึ้นมาอยู่ที่ 70% เท่าเดิม
ซึ่งในบรรดามัลติบิวตี้สโตร์ มัลตี้เปิดให้บริการมา 8 ปี และจัดอยู่ในระดับ Top3 แต่มีจุดขายที่แข็งแกร่งในด้านการรวบรวมแบรนด์เกาหลีไว้อย่างครบครันทุก SKUs มากที่สุด
มีกลุ่มลูกค้าหลัก คือ Gen Z อายุ 18-24 ปี เป็นกลุ่มวัยเรียน นักศึกษา ซึ่งมีการกลับเข้ามาใช้จ่ายในร้านทุกสัปดาห์ ยอดสเปนดิ้งก็ค่อนข้างดีที่ 600 บาทต่อบิล แต่หลังจากขยายสาขามากขึ้น และฐานโซเชียลมีเดีย กลุ่มลูกค้าขยายวงกว้างขึ้นครอบคลุม Gen Y อายุ 30-35 ปี รวมถึง Gen X ที่มีกำลังซื้อมากกว่า ยอดสเปนดิ้งของกลุ่มนี้จะอยู่ที่ 800 บาทต่อบิล โดยส่วนมากเป็นลูกค้าที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในเทรนด์ หรือ K-Beauty
ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งหมด 10 สาขา นำโดยสาขาสยาม เมกะบางนา ที่ทำรายได้สูงสุดตามลำดับ ตามด้วยฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และยูเนี่ยนมอลล์ที่สลับกันขึ้นมาเป็นอันดับสาม
แต่หน้าร้านไม่ได้เป็นเพียงแหล่งทำรายได้ช่องทางเดียว เพราะรายได้จากส่วนของช่องทางออนไลน์ก็เติบโตดี มีส่วนแบ่งเกินกว่า 30% ของช่องทางรายได้ทั้งหมด ขณะที่บริษัทประกาศโฟกัสช่องทางออนไลน์ แต่การขยายสาขาพัฒนาอี-คอมเมิร์ซ (E-commerce) โดยเฉพาะแอปพลิเคชัน MULTY ให้สามารถแข่งขันกับร้านอื่นได้ เนื่องจากหน้าร้านเป็นช่องทางที่ลูกค้าจะสามารถไปทดลองสินค้า สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้ง
สำหรับกลยุทธ์การตลาดปี 2568 เดินหน้าเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้สะดวกมากขึ้น สร้างประสบการณ์ช้อป Offline to Online หรือ Online to Offline ขยับฐานสมาชิกมากกว่าสามแสนคนให้เพิ่มขึ้น ทำ CRM เพื่อให้เกิดประสบการณ์ O2O คือการนำกลยุทธ์แบบออนไลน์และออฟไลน์มารวมเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า MULTY ที่ชอบทดลองสินค้าความงามที่นำเทรนด์ และมีพฤติกรรมช้อปปิ้งทั้ง Online และ Offline แต่ยังคงเน้นการสื่อสารกับลูกค้าทางโซเชียลมีเดียผ่านแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะ Real Content และ Real Review ที่เป็นจุดเด่นของทางร้าน รวมถึงการทำโปรโมชันในเทศกาล
อย่างไรก็ดี มัลตี้ บิวตี้ เติบโตมาจากการเป็นร้านเครื่องสำอางเกาหลี แม้จะมีเทรนด์ของเครื่องสำอางจีน และเครื่องสำอางไทยที่เริ่มแมส แต่ยังคงให้ความสำคัญกับแบรนด์เกาหลีเป็นหลัก เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ในวาระครบรอบสิบปีอันใกล้ภายในปี 2570 บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะพันล้านบาท
มัลตี้ บิวตี้ ที่ฝันฟันรายได้พันล้าน
| ผู้ก่อตั้ง ไพลิน อึ๊งพลาชัย | จุดเริ่มต้นธุรกิจมาจากการที่ผู้ก่อตั้งหาซื้อคุชชั่นเกาหลีในไทยไม่ได้ | |
| ก่อตั้งมาครบ 8 ปี | สาขาแรกที่ลิโด้สยาม | ครอง Market share ในกลุ่มตลาดเครื่องสำอางเกาหลีในมัลติบิวตี้สโตร์ 70% |
| สาขารวมทั้งสิ้น 10 แห่ง
จำนวนคนเข้าร้าน 10,000 คนต่อเดือน |
Top 3 สาขาทำรายได้สูงสุด | 1. สยาม |
| 2. เมกะบางนา | ||
| 3. ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต&ยูเนี่ยนมอลล์ | ||
| กลุ่มลูกค้า | 85% อายุ 18-24 ปี | ยอดใช้จ่ายต่อบิล 600 บาท |
| 15% อายุ 30-35 ปี | ยอดใช้จ่ายต่อบิล 800 บาท | |
| สินค้า 60% ของสินค้าทั้งหมด เป็นแบรนด์ made in Korea | สัดส่วนรายได้
50% skincare 40% make up 10% อื่นๆ |
ช่องทางรายได้
Offline 70% Online 30% |
| ผลประกอบการ | รายได้ (ล้านบาท) | กำไร (ล้านบาท) |
| 2563 | 169 | 1 |
| 2564 | 117 | 2 |
| 2565 | 179 | -10 |
ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
–

