Trend / ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาโลกการทำงานเผชิญความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายมากมาย ซึ่งก็ส่งผลให้เหล่าคนทำงานต้องปรับตัวกันอย่างมาก โดยผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการวางนโยบายและนำพาบริษัทฝ่าสถานการณ์เหล่านี้คือผู้บริหาร

Fastcompany เว็บไซต์รายงานความเคลื่อนไหวสังคมทำงานในสหรัฐฯ ระบุว่า ซีอีโอและผู้บริหารทั่วโลกต่างก็เครียดที่ต้องรับมือกับปัญหา โดยในสหรัฐฯ 71% ของซีอีโอกลุ่มตัวอย่างยอมรับว่าตนเป็นคนที่เครียดจากการคิดว่ายังทำสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดีพอ หรือ Imposter

ทางป้องกันไม่ให้เครียดจากปัญหาที่เข้ามาคือการเตรียมตัว โดยในบรรทัดถัดจากนี้คือความท้าทาย 2025 ที่ซีอีโอต้องรับมือ                                                                                                                                     

ความหลากหลาย 2.0: ความท้าทายแรกสุดและอาจจะใหญ่สุดที่ซีอีโอและทีมผู้บริหารของบริษัททั่วโลกต้องเจอในปี 2025 คือการวางนโยบายเรื่องความหลากหลาย เท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เพราะนักธุรกิจที่ผันตัวมาลงการเมืองสังกัดพรรครีพับลิกันผู้นี้มีความคิดอนุรักษนิยมสุดขั้วและไม่เปิดรับความหลากหลาย ประกอบกับบริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ หลายแห่ง อย่าง Walmart’s, Harley Davidson และ Budweiser พากันยกเลิกหรือลดนโยบาย DEI หลังเห็นแล้วว่า การดันนโยบายด้านนี้มากเกินไปทำให้เสียฐานลูกค้าเดิมและส่งผลเสียครั้งใหญ่

ผลเสียของการดันเรื่อง DEI มากเกินไปหรือเร็วเกินไป ยังแสดงออกมาให้เห็นผ่านเทรนด์ Go Woke or Go Broke ที่ชี้ถึงความความล้มเหลวของหนังและซีรีส์ที่เปลี่ยนให้คนผิวดำขึ้นมามีบทบาทเด่น

ความล้มเหลวของเบียร์ LGBTQ ของ Budweiser และกระแสวิจารณ์ต่อหนังโฆษณาตัวใหม่ของ Jaquar ตามแผนรีแบรนด์ที่เน้นสีสันกับผู้คน แต่กลับไม่มีรถให้เห็นเลย  

ดังนั้น บริษัทส่วนใหญ่ทั่วโลกอาจลดนโยบายลงไป แต่ก็มีการวิเคราะห์กันว่า DEI ยังคงจำเป็นเพราะคนรุ่นใหม่ยึดถือเรื่องนี้มาก และปัจจุบันกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศและผู้มีสีผิวต่างมีบทบาทมากขึ้น ขณะที่บางประเทศ เช่นไทย ก็จะผ่านกฎหมายเรื่องสมรสเท่าเทียม

ดังนั้น ซีอีโอและทีมบริษัททั่วโลก จึงต้องดำเนินนโยบายเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ใช้ความระมัดระวังกว่าเดิม  

ตีกรอบเพื่อตัดไฟ: ความท้าทายถัดมาที่ซีอีโอและทีมผู้บริหารต้องเจอ คือ ความขัดแย้งระหว่างคนในองค์กรที่เกิดได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ต่อเนื่องมาจากนโยบาย DEI และการที่คนหลายช่วงวัยตั้งแต่ Babyboomer ที่ยังไม่ยอมเกษียณไปจนถึง Gen Z ที่เพิ่งเริ่มทำงานและทำงานอยู่ร่วมในบริษัทหรือแผนกเดียวกันนั่นเอง

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้คนที่มีทัศนคติ โลกทัศน์ และปฏิบัติตัวต่างกัน รวมถึงมีเรื่องอ่อนไหวต่างกัน ต้องมาอยู่ร่วมกัน ดังนั้น ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ทำให้ต้องมีกฎ กติกา มารยาท หรือข้อตกลงที่ทุกฝ่ายรับได้เอาไว้ ซึ่งผู้มีส่วนสำคัญในการวางกรอบนี้ คือซีอีโอ โดยมีฝ่ายทรัพยากรบุคคลนำไปหารายละเอียดเพิ่มเติมและดูแลเรื่องการบังคับใช้

ถ้าสมาชิกทุกรุ่นและทุกกลุ่มในบริษัททำตามกฎ นอกจากความขัดแย้งจะลดลงแล้ว ยังจะทำให้คนทุกรุ่นสามัคคีกันพัฒนาองค์กรและช่วยกันทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้อีกด้วย  

มองข้ามเอไอไม่ได้อีกต่อไป: ความท้าทายอีกข้อที่ซีอีโอทั่วโลกจะเจอในปี 2025 คือ เอไอ โดยจากที่เคยทำเป็นไม่สนใจแต่ต่อไปต้องบอกว่ามองข้ามไม่ได้แล้ว

เพราะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รูปแบบต่าง ๆ ไม่ใช่แค่มาช่วยคนที่ใช้งานจนคล่องทำงาน ทำให้คนในบางแผนก และผู้ที่ไม่ยอมปรับตัวต้องตกงาน แต่เทคโนโลยีถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าเรารู้หรือไม่

และความผิดพลาดบางอย่างจากการที่เอไอยังอยู่ในระหว่างพัฒนาเช่น ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงแต่เอไอแสดงผลผิดว่าถูกต้องหรือการหลอกของเอไอก็ส่งผลกระทบต่อการทำงาน

ดังนั้น ปี 2025 ซีอีโอทุกบริษัทจึงต้องวางนโยบายเรื่องเอไอให้ชัดเจน ทั้งแนวทางการนำไปใช้ และใช้ได้มากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงจัดการอบรมการใช้ เพื่อเพิ่มทักษะและให้รู้เท่าทันเอไอของพนักงานในองค์กร    

ฟันธงให้ชัดลุยไฮบริดต่อหรือไม่: ความท้าทายอย่างสุดท้ายสำหรับซีอีโอบริษัทต่าง ๆ ในปี 2025 คือ ความชัดเจนเรื่องการทำงานว่าจะให้ทำงานแบบสลับระหว่างที่บ้านกับสลับเข้าออฟฟิศหรือแบบไฮบริดต่อไป หรือจะกลับเข้ามาทำงานแบบ 5 วันตามปกติ

เพราะแม้การทำงานแบบไฮบริดเกือบ 5 ปีที่ผ่านมามีข้อดีอยู่มาก เช่น เริ่มงานได้เลย และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แต่ก็ต้องติดต่อกันผ่านทางข้อความหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ บางกรณีงานจึงอาจไม่เกิดประสิทธิภาพมากเท่าที่ควร

ดังนั้น ปี 2025 ซีอีโอจึงควรฟันธงว่าการทำงานแบบไฮบริดหรือกลับมาแบบเดิม เหมาะสมกับบริษัทและเกิดประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลสูงสุด/ fastcompany

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer