แม้เจอศึกหนักช่วงโควิดจนร้านขาดทุนระนาว แต่ภายในเวลาไม่กี่ปีก็พาตัวเองกลับมาทำกำไรได้ ภายใต้การนำของ “นงชนก สถานานนท์” และยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่กลับไปขาดทุนซ้ำอย่างแน่นอน
The Coffee Club เชนร้านกาแฟสัญชาติออสเตรเลียภายใต้ชายคาไมเนอร์ รอดพ้นช่วงวิกฤตโควิดในปี 2564 ที่ขาดทุนระดับร้อยล้านบาทมาได้แล้ว ในปี 2566 กลับมาทำกำไร และในปี 2567 รายได้เติบโต 9% ด้านกำไรคาดเพิ่ม 20 เท่า
คุณนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทกลับมาทำกำไรได้เป็นปีที่สอง หลังจากต้องเผชิญช่วงยากลำบากในช่วงโควิดที่การท่องเที่ยวหดตัว เนื่องจากธุรกิจต้องพึ่งพาลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก สัดส่วนลูกค้าเกินกว่าครึ่งเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการ แต่เมื่อการท่องเที่ยวกลับมารันต่อได้ ธุรกิจจึงฟื้นตัวได้ไว
ประกอบกับการปิดสาขาที่ขาดทุนออกเพื่อให้แบรนด์เฮลตี้ขึ้น ช่วงเผชิญโควิด-19 จากจำนวน 70 สาขา ลดออกเหลือเพียง 30 สาขา ก่อนจะขยายกลับขึ้นมาเป็น 42 สาขาในปัจจุบัน พร้อมทั้งปรับเมนูในร้านจาก 80 รายการ เหลือเพียง 40 รายการ แล้วหันไปทำเมนูที่สอดคล้องกับเทรนด์อันเป็นที่ต้องการของลูกค้า ตลอดจนกระตุ้นการสมัครเมมเบอร์ชิปเพื่อดึงลูกค้าให้กลับมาใช้บริการที่ร้าน ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ทำกำไรต่อเนื่องเป็นปีที่สองได้
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของเดอะ คอฟฟี่ คลับ ปรับสัดส่วนขึ้นมาเป็นลูกค้าคนไทย 40% ต่างชาติ 60% จากเดิมที่เป็นกลุ่มโลคอลเพียง 20 ต่อ 80% การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลต่อแผนการขยายสาขาในอนาคต ที่แบรนด์ต้องการจะรุกตลาดดึงลูกค้าชาวไทยเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงเมื่อการท่องเที่ยวซบเซา ส่งผลให้การขยายสาขาในอนาคตจะเลือกเป็นทำเลที่เข้าถึงคนไทยได้มากขึ้น และมาด้วยโมเดลใหม่
เริ่มด้วย THE COFFEE CLUB สาขาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสาขา 2 ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ต่อจากสาขาทองหล่อ ด้วยแทรฟฟิกของโรงพยาบาลที่วันหนึ่งมีบุคลากรทางการแพทย์ทำงานอยู่ตลอดคืน สาขานี้จึงเหมาะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับดีมานด์ของนิสิตนักศึกษาแพทย์ คณาจารย์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ การดีไซน์ร้านจึงเน้นให้มีบรรยากาศผ่อนคลาย และรักษ์โลก เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลและอัปไซเคิล (Upcycle) เช่น ที่นั่งภายในร้านทำจากพลาสติกรีไซเคิลจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือฟอยล์จากบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่ผ่านการใช้งาน รวมถึง ฝุ่นไม้เหลือทิ้งจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้จากแผ่นไวนิลเก่า ตลอดจนเคาน์เตอร์ชงกาแฟจากเยื่อกาแฟเหลือจากกระบวนการคั่วสำหรับชงเอสเปรสโซ่ ซึ่งต่อจากนี้จะเล็งปรับเวลาให้บริการในสาขาอื่น ๆ ที่มีแทรฟฟิกตลอดคืนด้วยเช่นกัน
การเลือกเปิดสาขาในโรงพยาบาลยังช่วยให้แบรนด์ที่ดูมีความเป็น niche market เปลี่ยนเป็นแมสขึ้นบ้าง
ผลักดันการสมัครสมาชิกจาก 240,000 ราย เพิ่มเป็น 300,000 รายในปี 2568 เนื่องจากลูกค้ากลุ่ม Subscription จะมีการกลับมาใช้บริการที่สูงกว่าคนปกติ 3 เท่า สำหรับลูกค้าทั่วไปแทรฟฟิกการเข้าใช้บริการอยู่ที่ 3 ครั้งต่อเดือน แต่ลูกค้าเมมเบอร์อยู่ที่ 10 ครั้งต่อเดือน ด้านค่าใช้จ่ายต่อบิลสำหรับสาขาที่จำหน่ายเฉพาะเครื่องดื่มอยู่ที่ 100 กว่าบาทต่อบิล ขณะที่สาขาที่จำหน่ายเครื่องดื่มพร้อมอาหารอยู่ที่ 300 บาทต่อบิล
ชูจุดขายเมล็ดกาแฟซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานเอกลักษณ์จาก 3 แหล่งปลูกชั้นนำระดับโลก ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย และอินเดีย อย่างไรก็ดี ภาระต้นทุนที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ร้านจำเป็นต้องปรับราคาขึ้น 2 บาท แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพอาหาร
ปัจจุบันจำนวนสาขาของเดอะ คอฟฟี่ คลับ รวมทั้งสิ้น 42 สาขา แบ่งเป็นสาขาในเขตกรุงเทพฯ 22 สาขา และเมืองท่องเที่ยว 19 สาขา ได้แก่ ภูเก็ต 13 สาขา, พัทยา 2 สาขา, กระบี่ 2 สาขา, สมุย 1 สาขา และหัวหิน 1 สาขา รวมถึงในประเทศลาวที่หลวงพระบาง 1 สาขา
ในปีนี้ภาพรวมเดอะ คอฟฟี่ คลับ มีการเติบโต 9% ปี 2568 ตั้งเป้าเติบโตใกล้เคียงกันที่ 10% พร้อมเปิดสาขาใหม่ 3-5 สาขา และรีโนเวตร้านใหม่ 4 แห่ง ใช้งบลงทุนในปีหน้ารวมกว่า 60 ล้านบาท มั่นใจจากนี้กำไรต่อเนื่อง ไม่กลับไปขาดทุนอย่างแน่นอน
–
