ธุรกิจคอนโดมิเนียมในเมืองไทยเจอมรสุมลูกแล้วลูกเล่าอย่างต่อเนื่อง

นอกจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาก่อนหน้านี้ ต้นปี 2568 ก็ต้องมาเจอกับเรื่องแผ่นดินไหวที่น่าระทึก และตามมาติด ๆจากมาตรการภาษีทรัมป์ ที่เขย่านักลงทุนทั่วโลก

ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมรวมทั้งชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในบ้านเราแน่นอน

สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติทั่วประเทศในปี 2567 จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มี Key Highlight ดังนี้คือ

ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในไทยมีสัดส่วนถึง 12.5% ของการโอนกรรมสิทธิ์โดยรวม

ความสนใจของชาวต่างชาติยังมีแต่ชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจโลก

ห้องชุดของคนต่างชาติในกรุงเทพมหานครมีสัดส่วนมากเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ร้อยละ 39.0 รองลงมาอันดับ 2 เป็นจังหวัดชลบุรี ร้อยละ 35.1 และหากนับ 2 จังหวัดรวมกันจะมีจำนวนหน่วยสัดส่วนถึงร้อยละ 74.1 และมีมูลค่ารวมกันสูงถึงร้อยละ 80.6 ของการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศ

กลุ่มผู้ซื้อจากประเทศจีนยังเป็นตลาดหลัก มีมูลค่าการโอนเฉลี่ย 4.6 ล้านบาทต่อหน่วย พื้นที่ห้องชุดเฉลี่ย 39.2  ตร.ม. แต่ปีนี้ควรเฝ้าระวังผลกระทบจากนโยบาย Reciprocal Tariff

ปี 2567 เป็นปีแรกที่พม่าขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของการโอนกรรมสิทธิ์ แทนที่รัสเซียที่ครองอันดับ 2  มานานหลายปี มีจำนวน 1,388 หน่วย มูลค่า 7,036 ล้านบาท พื้นที่ 56,840 ตร.ม. มูลค่าการโอนเฉลี่ย 5.1 ล้านบาทต่อหน่วย พื้นที่ห้องชุดเฉลี่ย 41 ตร.ม.

ผู้ซื้อจากอินเดียซื้อขนาดห้องใหญ่สุด และราคาเฉลี่ยสูงสุด  5.9 ล้านบาทต่อหน่วย พื้นที่ห้องชุดเฉลี่ย 71.6 ตร.ม.

ระดับราคาห้องชุดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ

ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติมากที่สุด อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 1,797 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.5 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับราคาที่คนต่างชาติส่วนใหญ่นิยมโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด นับมาตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน

รองลงมา คือ ระดับราคา 3.01- 5.00 ล้านบาท จำนวน 800 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.5, ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท จำนวน 478 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.4, ระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 313 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.8 และระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท

จำนวนน้อยที่สุด คือ 169 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.8 และในด้านมูลค่า พบว่า มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติมากที่สุดในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท มูลค่า 5,993 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.7 รองลงมา คือ ระดับราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท มูลค่า 3,244 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.3, ระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท มูลค่า 3,176 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.9,ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท มูลค่า 2,910 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.3 และระดับราคา7.51-10.00 ล้านบาท มูลค่าน้อยที่สุด คือ 1,454 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.7 (รายละเอียด

ขนาดพื้นที่ห้องชุดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ

ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ขนาดห้องชุดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ คือ ขนาดพื้นที่ 31-60 ตารางเมตร (1-2 ห้องนอน) โดยมีจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติ จำนวน 1,719 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.3

รองลงมา คือ ห้องชุดขนาดพื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร (ห้องสตูดิโอ หรือ 1 ห้องนอน)จำนวน 1,308 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.8 ถัดมา คือ ห้องชุดขนาดพื้นที่ 61-100 ตารางเมตร (2-3 ห้องนอน ขึ้นไป) จำนวน 387 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.9 และห้องชุดขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร (3 ห้องนอนขึ้นไป) จำนวนน้อยที่สุด คือ 143 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.0

และเมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2562 พบว่า ห้องชุดขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร และขนาด 31-60 ตารางเมตร
เป็นประเภทห้องชุดที่คนต่างชาตินิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์รวมกันสูงกว่า
ร้อยละ 80 ในแต่ละไตรมาส

สรุปภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในปี 2567 เทียบกับปี 2566

จำนวนหน่วย 14,573 หน่วย เพิ่มขึ้น 0.9% มูลค่ารวม 68,182 ล้านบาท ลดลง 6.8%

พื้นที่โอนรวม  642,664 ตร.ม. ลดลง 2.5%  มูลค่าเฉลี่ยต่อหน่วย 4.7 ล้านบาท 7.8%

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer