Trends / งานวิ่งมาราธอนที่กรุงปักกิ่งของจีน เมื่อ 19 เมษายนที่ผ่านมา กลายเป็นข่าวที่สื่อส่วนใหญ่ในโลกต่างให้ความสนใจ และต่อมาคลิปวิดีโอการแข่งขันก็ไปปรากฏตามสถานีโทรทัศน์ในหลายประเทศ โดยสาเหตุที่ได้รับความสนใจไม่ได้มาจากระยะทางหรือสถานที่จัด
แต่มาจากมีหุ่นยนต์ที่ลักษณะคล้ายมนุษย์ (Humanoid) ที่คนควบคุมให้วิ่งไป 20 ตัว ร่วมลงแข่งกับนักวิ่งที่เป็นมนุษย์ จำนวน 12,000 คน ด้วย

นี่จึงเป็นการสะท้อนถึงความก้าวหน้าของวงการหุ่นยนต์จีน ต่อเนื่องไปถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่น ๆ ที่คือกำลังสำคัญในภาคการผลิตจีนในปัจจุบัน และอาจกล่าวได้ว่าส่งให้จีนมีแต้มต่อในสงครามการค้าครั้งนี้อีกด้วย
ข้อมูลจากสหพันธ์ผู้ผลิตหุ่นยนต์นานาชาติ เผยว่า ปัจจุบันจีนมีสัดส่วนและจำนวนหุ่นยนต์ในโรงงานมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมากกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั้งในแถบตะวันตกและเอเชีย อย่าง สหรัฐฯ เยอรมนี และญี่ปุ่น อันเป็นผลมาจากการบรรจุการให้หุ่นยนต์ เอไอ และจักรกลโรงงาน อยู่ในแผนพัฒนา “Made in China 2025” ที่เริ่มเมื่อปี 2015 และปีนี้ครบ 10 ปีพอดี
โครงการดังกล่าวไม่ได้ทำให้โรงงานน้อย-ใหญ่ในจีนเต็มไปด้วยหุ่นยนต์เท่านั้น แต่ยังทำให้เทคโนโลยีหุ่นยนต์จีนก้าวหน้าลำดับต้น ๆ ของโลก และค่าใช้จ่ายในการนำหุ่นยนต์รูปแบบต่าง ๆ มาใช้ในโรงงานจีนลดลงอย่างมากอีกด้วย
เจ้าของโรงงานผลิตเตาไมโครเวฟและเตาปิ้งบาร์บีคิวในมณฑลกวางโจว เผยว่า กำลังจะลงทุนเป็นเงิน 40,000 ดอลลาร์ (ราว 1.3 ล้านบาท) ในระบบหุ่นยนต์จากบริษัทในประเทศ ซึ่งถูกกว่าของต่างประเทศหลายเท่า โดยหากวงการหุ่นยนต์ในประเทศไม่ก้าวหน้าเช่นนี้ แผนการประหยัดงบดังกล่าวไม่มีทางเป็นไปได้เลย
นอกจากการสนับสนุนจากรัฐบาลในการพัฒนาหุ่นยนต์ด้วยงบก้อนใหญ่แล้ว จีนยังเป็นประเทศที่มีวิศวกรเครื่องกลที่สามารถควบคุมหุ่นยนต์และใช้เอไอได้คล่องจบจากมหาวิทยาลัยปีละกว่า 350,000 คน มากกว่าหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ที่บัณฑิตจบจากมหาวิทยาลัยในสาขาเดียวกันมีเพียงปีละ 45,000 คน
หนึ่งในบริษัทจีนที่ใช้หุ่นยนต์ จักรกลโรงงาน และเอไอ ส่วนใหญ่กระบวนการผลิตคือ ค่ายรถอีวี Zeekr โดยหนึ่งในทีมออกแบบกล่าวว่า เมื่อใช้เอไอคล่อง งานก็ง่ายขึ้นมาก ขณะที่กระบวนการผลิตก็เร็วขึ้นด้วย โดยงานหลักในทุกวันนี้คือการหาเทรนด์ใหม่ ๆ มาออกแบบรถรุ่นต่อ ๆ ไป

อีกสาเหตุที่เทคโนโลยีล้ำสมัยด้านการผลิตคือแต้มต่อของจีนในสงครามการค้าคือ แม้ประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีหุ่นยนต์และจักรกลโรงงานใช้กัน แต่ 20 ปีมานี้เทคโนโลยีดังกล่าวของจีนพัฒนาขึ้นอย่างมาก จนทุกโรงงานมีเทคโนโลยีจีนอยู่ หรือต้องพึ่งพาจีนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสหรัฐฯ คู่ปรับหลักในสงครามการค้ารอบนี้รวมอยู่ด้วย
ส่วนในอนาคตอันใกล้จีนจะยังคงเป็นประเทศชั้นนำด้านหุ่นยนต์ จักรกลโรงงาน และเอไอต่อไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้นายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง เพิ่งประกาศว่า จะทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีกลุ่มนี้ต่อ ด้วยงบประมาณ 137,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.5 ล้านล้านบาท)
ทว่าความก้าวหน้าดังกล่าวก็มีด้านมืดแทรกอยู่ เพราะจะทำให้คนที่เป็นแรงงานไร้ฝีมือหรือควบคุมเครื่องจักรที่ไม่ซับซ้อน อาจต้องตกงาน เพราะหุ่นยนต์ จักรกลโรงงาน และเอไอทำแทนได้หมด
พนักงานขับรถยกลังในโรงงานจีนแห่งหนึ่งกล่าวว่า ตนและพนักงานโรงงานจีนทุกคนล้วนทราบเรื่องนี้ดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับสภาพเท่านั้นว่าอีกไม่นานจากนี้คงต้องตกงาน/thestar, theguardian
–
