ความสำเร็จจากการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรม หรือ Soft Power ที่เกาหลีใต้ยังคงสามารถเก็บเกี่ยวได้มาอย่างยาวนาน คือ สินค้าเกาหลีใต้มีภาพลักษณ์ดีในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลดีอย่างมากต่อการส่งออก

นี่ทำให้ยอดส่งออกสินค้ามากมายของเกาหลีใต้ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ยานยนต์ และสินค้าเทคโนโลยี รวมไปถึงเครื่องสำอาง อยู่ในฝั่งขาขึ้นมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม ขาขึ้นดังกล่าวกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาลง เพราะหนึ่งในตลาดใหญ่ของสินค้าเกาหลีใต้ อย่างสหรัฐฯ และหนึ่งในสินค้า Made in South Korea ที่จะได้รับผลกระทบพอสมควรคือ เครื่องสำอาง

สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดใหญ่ของเครื่องสำอางเกาหลีใต้หรือ K-Beauty โดยเมื่อปี 2024 ผู้คนในสหรัฐฯ ใช้จ่ายกับผลิตภัณฑ์ K-Beauty สูงถึง 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 62,000 ล้านบาท) ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สินค้ากลุ่ม K-Beauty ขายดีทั้งในหมู่ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีและเอเชีย รวมไปถึง Gen Z ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมเกาหลีใต้ และผู้บริโภคทั่วไปที่เน้นเรื่องความคุ้มค่าและราคา

ขณะเดียวกันก็ยังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่อยากลองส่วนผสมแปลกใหม่ที่มีสรรพคุณด้านความงามจากประเทศและภูมิปัญญาชาวเอเชีย เช่น ใบพลูคาว ไปจนถึงเมือกหอยทาก ที่ไม่เคยพบเห็นในแบรนด์เครื่องสำอางตะวันตก

ทว่ามรสุมลูกใหญ่กำลังจะโถมเข้าใส่ตลาด K-Beauty ในสหรัฐฯ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งขึ้นภาษี 15% ต่อสินค้าเกาหลีใต้ โดยแม้จะลดลงอย่างพอสมควรจาก 25% ที่เคยขู่ไว้ แต่ด้วยราคากำลังจะแพงขึ้นในอนาคตอันใกล้ จึงย่อมไปฉุดยอดขายและยอดส่งออกให้ลดลง

เชยีน แวร์ ผู้ก่อตั้ง Santé Brand ร้านค้าปลีก K-Beauty ในสหรัฐฯ เปิดเผยว่า หลังจากที่ทรัมป์ประกาศภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ในเดือนเมษายน คำสั่งซื้อของร้านก็พุ่งขึ้นเกือบ 30% โดยเมื่อมีการประกาศภาษี ลูกค้าก็เริ่มวางแผนว่าจะรับมือกับสถานการณ์ และธุรกิจในความดูแลของเธอก็ต้องหาทางรับมือกับสถานการณ์เช่นกัน

ด้าน วินนี่ ซ่ง ผู้จัดการ Senti Senti ร้านค้าปลีก K-Beauty อีกแห่งกล่าวว่า เธอสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ทรัมป์เริ่มขู่เรื่องภาษี และเมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้รับแจ้งเตือนจากซัพพลายเออร์ให้ตุนสินค้าก่อนภาษีจะขึ้น ส่วนจากนี้ก็ต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า ราคาของสินค้ากลุ่ม K-Beauty ในสหรัฐฯ จะแพงขึ้นแน่นอน โดยแบรนด์ใหญ่ที่มีส่วนต่างกำไรมากกว่า และผลิต-ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ แล้วจะรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่า ส่วนแบรนด์เล็กที่ด้อยกว่าในทุกทางคงจะได้รับผลกระทบอย่างมาก

สำหรับการไปตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ของแบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีใต้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า คงยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ เช่นเดียวกับสินค้าประเภทอื่นๆ ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ เครื่องสำอางเกาหลีใต้อาจสูญเสียลูกค้ากลุ่มที่ชอบความแปลกใหม่

ส่วนลูกค้ากลุ่มที่ภักดีต่อแบรนด์เกาหลีใต้ เพราะเห็นว่าไม่มีแบรนด์จากประเทศอื่นๆ แทนได้ แม้จะยังซื้ออยู่แต่อาจลดจำนวนลง หรืออาจหันไปซื้อแบรนด์ที่ผลิตในสหรัฐฯ บ้าง เพื่อลดค่าใช้จ่าย

ซึ่งที่สุดแล้วย่อมทำให้ยอดขายกับยอดส่งออกโดยรวมลดลง จนต้องหันไปทำการตลาดและส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ เช่น ประเทศแถบเอเชีย ที่ไม่เจอกำแพงภาษี และสินค้าเกาหลีใต้ยังเป็นที่นิยมมากขึ้น / bbc


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer