นักฟิสิกส์นิวเคลียร์จากพรินซ์ตัน, วิศวกรเครื่องกลที่เคยช่วย NASA, นักประสาทชีววิทยาจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ, นักคณิตศาสตร์ชื่อดัง และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อีกไม่ใช่น้อย โดยนี่คือส่วนหนึ่งของนักวิจัยระดับหัวกะทิที่กำลังทิ้งสหรัฐอเมริกาเพื่อไปทำงานในจีนเท่านั้น 

ตามข้อมูลของสื่อสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว (2024) มีนักวิทยาศาสตร์ทั้งดาวรุ่งและระดับแถวหน้าอย่างน้อย 85 คนที่ทำงานในสหรัฐฯ ได้ย้ายไปร่วมงานกับสถาบันวิจัยในจีนแบบเต็มเวลา โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งตัดสินใจย้ายในปี 2025 นี้ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่านี่คือแนวโน้มที่กำลังจะขยายตัวขึ้นอีก 

ในขณะที่สหรัฐฯ พยายามตัดลดงบประมาณการวิจัยและเพิ่มการตรวจสอบผู้มีความสามารถจากต่างชาติ สวนทางกับจีนที่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมในประเทศ 

ข้อมูลดังกล่าวยังมีอีกประเด็นน่าสนใจ เพราะมีจำนวนไม่น้อยในกลุ่มนี้ ที่เป็นชาวจีนอยู่มานับสิบปีที่ตัดสินกลับบ้านเกิด เพราะทนนโยบายแข็งกร้าวที่ไม่เป็นมิตรกับพวกเขาต่อไปไม่ไหว 

ปรากฏการณ์นี้ถคือ “ภาวะสมองไหลย้อนกลับ” (Reverse Brain Drain) ซึ่งกำลังกลายเป็นคำถามว่า สหรัฐฯ จะรั้งตัวนักวิชาการต่างชาติเก่งๆ ไว้ได้หรือไม่ หลังเคยสามารถดึงนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากต่างประเทศไว้ในระยะยาว อันช่วยผลักดันให้ขึ้นมาเป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาตลอดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

จีนหันมาดึงดูดนักวิชาการต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่ไปปักหลักอยู่ในสหรัฐฯ นานๆ ให้กลับบ้านเกิดมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯ ยังคงใช้มาตรการควบคุมเทคโนโลยีต่อจีนอย่างเข้มงวด และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มองว่าความสามารถในการสร้างนวัตกรรมคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

สถานการณ์นี้ยิ่งเข้าทางจีน เมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันให้มีการตัดลดงบประมาณการวิจัยของรัฐบาลกลางอย่างมหาศาล, เพิ่มการกำกับดูแลการวิจัย, ขึ้นค่าวีซ่า H1-B สำหรับแรงงานต่างชาติเฉพาะทางอย่างมาก และใช้งบประมาณรัฐเป็นเครื่องมือต่อรองกับมหาวิทยาลัย

หยู เซี่ย ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจีนมองการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐฯ ว่าเป็นสถานการณ์แบบเข้าทางที่ที่จะช่วยให้สามารถสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถสูงขึ้นและมากขึ้นได้

ความกังวลและความไม่แน่นอนรุนแรงเป็นพิเศษในหมู่นักวิจัยที่มีความเชื่อมโยงกับจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งนักศึกษาปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมมายังสหรัฐฯ มากที่สุดมาอย่างยาวนาน

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ China Initiative ซึ่งเป็นโครงการความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยข้อถกเถียง เปิดตัวในสมัยแรกของทรัมป์เพื่อสอบสวนการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาในมหาวิทยาลัย

แม้โครงการนี้จะถูกยกเลิกไปในปี 2022 หลังจากถูกวิจารณ์ว่าสร้างความหวาดระแวงและอคติต่อนักวิชาการเชื้อสายจีน แต่ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สมาชิกรัฐสภาก็ได้เรียกร้องให้นำโครงการนี้กลับมาใช้อีกครั้ง

นี่ทำให้เกิดการต่อต้านจากนักวิชาการในสหรัฐฯ ถึงขนาดมีการล่ารายชื่อเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิก เพราะจะเสียมากกว่าได้ 

งานวิจัยปี 2023 ของศาสตราจารย์หยู เซี่ย และทีมงานจากพรินซ์ตัน พบว่า หลังจากมีการบังคับใช้ China Initiative จำนวนนักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนที่เดินทางออกจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 75% โดยสองในสามย้ายไปยังประเทศจีน

ลู่ อู๋หยวน นักเคมีโปรตีนซึ่งเคยเป็นศาสตราจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ก่อนจะย้ายไปมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นในเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2020 เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบ

โดยเขาเล่าว่าความร่วมมือวิจัยกับจีนของเขาเคยถูกมองว่าเป็นผลดีต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย แต่แล้วกลับกลายเป็นเป้าของการสอบสวนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH)ในขณะที่สหรัฐฯ สร้างผลักหรือขับไล่ นักวิชาการต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน

จีนก็ทำในทางตรงกันข้ามนั่นคือ โน้มน้าวและยื่นข้อเสนอต่างๆ อย่างเต็มที่เพื่อดึงดูดคนระดับหัวกะทิ ซี่งแน่นอนว่า ชาวจีนหรือที่มีผู้เชื้อสายจีนคือเป้าหมายอันดับ 1 

ข้อเสนอของจีนนั้นมีมากมาย เช่น เงินเดือนสูง, โบนัส, เงินช่วยเหลือค่าที่พัก, การสนับสนุนครอบครัว และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าถึงเงินทุนวิจัยได้ง่ายกว่า 

ท่ามกลางรายงานว่า มหาวิทยาลัยจีนบางแห่ง เสนอทุนให้สูงถึง 3 ล้านหยวน (ประมาณ 13 ล้านบาท) เลยทีเดียว 

นอกจากภาคการศึกษาแล้ว ภาคเอกชนก็ไม่น้อยหน้า โดยเฮดฮันเตอร์รายหนึ่งเผยว่า ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็นที่ต้องการอย่างมาก ตั้งแต่สหรัฐฯ ออกนโยบายแข็งกร้าวกดดันจีน 

แม้จะมีภาวะสมองไหลย้อนกลับ และมีข้อมูลจากศูนย์สถิติด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมแห่งชาติสหรัฐฯ ชี้ว่า กว่า 83% ของบัณฑิตชาวจีนที่จบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2017-2019 ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศในปี 2023

แต่ก็มีการวิเคราะห์กันว่า หากสหรัฐฯ ยังใช้นโยบายแข็งกร้าวกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับจีน โดยขาดพิจารณาถึงผลกระทบอย่างรอบคอบต่อไป เรื่องเข้าทางจีนอย่าง การเดินทางกลับบ้านเกิดของนักวิชาการก็จะดำเนินต่อไป จนอาจเสียคนระดับหัวกะทิไปแบบถาวร อันเป็นหายยะสำหรับแวดวงวิชาการ วิทยาศาสร์และเทคโนโลยีชั้นสูงต่างๆ / cnn


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer