31 ธันวาคม 2025 ก็คงเป็นแค่อีกวันสุดท้ายของปีของคนทั่วไป แต่กับวัยรุ่นยุค 80 และ 90 ต่อเนื่องไปถึงคนในวงการสื่อโดยเฉพาะค่ายเพลง กลับต่างออกไป เพราะเป็นการปิดฉากช่องเพลงดังระดับตำนาน 

Paramount ประกาศว่า 31 ธันวาคมนี้ MTV Music, MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live 5 ช่องสุดท้ายที่เหลืออยู่ของ MTV และเน้นคอนเทนต์เพลง จะยุติการออกอากาศ เหลือแต่ช่องเน้นคอนเทนต์เรียลลิตี้อย่าง Naked Dating UK กับ Geordie Shore และคอนเทนต์ออนไลน์ในแพลตฟอร์ม Paramount+ เท่านั้น 

นี่ถือเป็นสัญญาณการปิดฉาก MTV สถานีโทรทัศน์ที่เน้นคอนเทนต์เพลงสถานีแรกของโลก ที่จุดประกายให้เกิดอีกหลายอย่างตามมา ทั้ง MV, รายการลักษณะเดียวกันทั่วโลก, การประกาศรางวัล MV, คอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ จับกลุ่มวัยรุ่น ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ 

ท่ามกลางการวิเคราะห์ว่า MTV คือช่องทางช่วยโปรโมตชั้นดีให้ค่ายเพลง ไปจนถึง Soft Power สำคัญของสหรัฐฯ ที่อดีตผู้นำโซเวียตยังต้องกล่าวถึง 

ทว่าสุดท้ายก็ต้องอวสาน จากพฤติกรรมการดูคอนเทนต์เพลงทั้งหมดของคนทั่วโลกที่เปลี่ยนไป โดยมี YouTube เป็นช่องทางหลัก แล้วตอกย้ำด้วยเวลาเสพสื่อที่หมดไปกับโซเชียลมีเดียและหน้าจอสมาร์ทโฟน 

พร้อมกับการที่ทีวีในยุคนี้ก็กลายเป็นสมาร์ททีวี สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ดังนั้นผู้คนจึงแทบไม่ยึดติดกับการถ่ายทอดสด เน้นดูตามที่สะดวก ซึ่งหากมองอีกด้านก็คือการขยายจอจากจอสมาร์ทโฟนขนาดเล็ก ไปเป็นจอสมาร์ททีวีขนาดใหญ่นั่นเอง 

ซิโมน แองเจิล อดีตวีเจของ MTV ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC News ว่า เศร้ามาก และไม่อยากจะเชื่อเลย แม้จะรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่ก็ยอมรับว่า ทุกวันนี้ ออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักในการเสพสื่อและเพลงไปแล้ว จน MTV แทบไม่มีความจำเป็น 

สำหรับ MTV เกิดจากไอเดียของ โรเบิร์ต พิตต์แมน ผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมในเครือ Warner เมื่อปี 1979 หลังเห็นว่าผู้ชมกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเพลงยังถูกมองข้าม

เขานำร่องผ่านการนำวงดังๆ ช่วงนั้นมาแสดงสด แล้วตัดสลับด้วยคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ต่างๆ และเมื่อกระแสตอบรับดีก็พัฒนาสู่ MTV ที่ออกอากาศครั้งแรกในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1981 โดยมี MV เพลง Video Killed the Radio Star ของวง The Buggles เป็น MV ตัวแรก 

จากนั้นตลอดยุค 80 MTV ก็เริ่มได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นอเมริกัน ทำให้ค่ายเพลงพากันผลิต MV ออกมาเพื่อโปรโมตเพลง โดยมี ไมเคิล แจ็กสัน เป็นศิลปินที่ดังสุดในยุค 80 ด้วย MV บน MTV 

นี่ยังทำให้ MTV ไปเตะตาค่ายหนังส่งหนังมาโปรโมตบ้าง ประเดิมด้วย Flashdance ในปี 1983 

ข้ามมาถึงยุค 90 MTV ก็ข้ามไปดังนอกสหรัฐฯ ทำให้มี MTV ในประเทศอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย รวมไปถึงรัสเซีย ที่เริ่มเปิดรับโลกตะวันตกมากขึ้น จน มิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำรัสเซียและโซเวียตในขณะนั้น ถึงกับยอมรับในปี 1993 ที่ MTV Russia เปิดตัวว่า MTV มีอานุภาพร้ายแรงกว่าจรวดมิสไซล์เสียอีก 

ยุค 90 ยังเป็นปีที่สำคัญต่อทั้งวงการเพลงและ MV เพราะเป็นช่วงที่ MV เพลง Smells Like Teen Spirit ฮิตสุดๆ ทำให้ศิลปินนักร้องทุกเบอร์ยุคนั้นมีการผลิต MV ออกมามากมาย 

ขณะที่ MTV ก็เดินหน้าต่อด้วยการผลิตคอนเทนต์ออกมาเอง อย่าง MTV Unplugged ที่จุดกระแสเพลงและการแสดงสดแบบอะคูสติกไปทั่วโลก, แอนิเมชันเนื้อหาแสบสันอย่าง Beavis and Butt-Head และคอนเทนต์แบบสต็อปโมชันที่นำคนดังมาเล่นมวยปล้ำกันอย่างสะใจคนดูอย่าง Celebrity Deathmatch 

ณ จุดสูงสุด MTV มีกระจายอยู่ทั่วโลก และส่งผลให้เคเบิลทีวีทั่วโลกต้องมีช่องเพลง แต่สัญญาณอันตรายของ MTV ก็เริ่มปรากฏ โดยในปี 2002 MTV ได้เปิดตัว The Osbournes คอนเทนต์แนวเรียลลิตี้ในครอบครัวของ ออสซี่ ออสบอร์น นักร้องเพลงแนวเฮฟวีเมทัลรุ่นใหญ่ 

แม้ The Osbournes จะฮิตหลังเปิดตัวไม่นาน มีต่อเนื่องมาอีกหลายซีซัน และดึงผู้ชมให้กลับมาดู MTV แต่การฮิตท่ามกลางคอนเทนต์เพลงที่ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ก็ฟ้องว่า MTV อาจอยู่ได้อีกไม่นาน 

ปี 2010 ความนิยมของ MTV เริ่มลดลงหลัง MV เริ่มเปิดตัวใน YouTube ควบคู่กันไปกับทีวี จากนั้นในปี 2014 สถานการณ์ก็แย่ลงอีกหลัง Facebook และสื่อโซเชียลต่างๆ ได้รับความนิยม ประกอบกับผู้คนทั่วโลกติดจอสมาร์ทโฟนกันมากขึ้น จนดูทีวีลดลงต่อเนื่อง และ MTV ก็จำต้องทยอยปลดพนักงาน 

ที่สุด ก็มีประกาศปิดตัวช่องเน้นเพลงของ MTV ตามที่ได้กล่าวไปแล้วด้านบน โดยแม้ยังชมได้ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง แต่บรรยากาศและอารมณ์ในการชมก็ไม่เหมือนยุคเฟื่องฟูอีกต่อไป 

สถานการณ์ของ MTV ยังเป็นการสะท้อนว่า สถานีโทรทัศน์ต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อให้อยู่รอดในยุคปัจจุบันที่ผู้คนติดโซเชียล จ้องมือถือมากกว่าจอทีวี / bbc, wikipedia


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer