จากเด็กสาวในวัย 24 ปี ที่ก้าวขึ้นมาเตรียมรับไม้ต่อจากคุณพ่อ “บก.วิติ๊ด” วิธิต อุตสาหจิต ในวันที่ “พายุธุรกิจสื่อ” กำลังแปรปรวนที่สุด

ภารกิจสำคัญของเธอคือการนำพาแบรนด์ขายหัวเราะข้ามโลกของหนังสือไปสู่แพลตฟอร์มต่าง ๆ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก

วันนี้เธอได้เรียนรู้และตกผลึกแนวคิดสำคัญมากมาย ทั้งเรื่องงาน เรื่องคน ชีวิต และการเป็นผู้นำหญิงที่เข้มแข็งบนเส้นทางของตัวเอง

ย้อนอดีต”ขายหัวเราะ”

เส้นทางกว่า 52 ปีของ “บันลือกรุ๊ป” ที่วันนี้รู้จักกันในชื่อ “วิธิตากรุ๊ป” เริ่มต้นจากรุ่น “อากงบันลือ อุตสาหจิต” ผู้เริ่มต้นจากการค้าของเก่า ก่อนจะต่อยอดเป็นร้านขายหนังสือเก่า และก้าวสู่การตั้งสำนักพิมพ์ของตัวเอง ผลิตผลงานหลากหลาย ทั้งหนังสือเพลง หนังสือดารา และการ์ตูน

ในยุคนั้น “การ์ตูนตลก” ยังไม่มีใครมองว่าเป็นธุรกิจได้จริง ส่วนใหญ่เป็นเพียงคอลัมน์เล็ก ๆ ในนิตยสาร แต่ “วิธิต อุตสาหจิต” ลูกชายวัย 18 ปี กลับมองเห็นโอกาส เขาเชื่อว่า “การ์ตูนอารมณ์ขัน” สามารถกลายเป็นหนังสือเล่มที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองได้

จากความเชื่อเล็ก ๆ ในวันนั้น ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์อมตะอย่าง “ขายหัวเราะ” หนังสือที่ปลูกฝัง “อารมณ์ขันแบบไทย” ให้คนไทยได้หัวเราะร่วมกันอย่างมีความสุขมาตลอดหลายทศวรรษ

ในวัย 70 ปี บก.วิติ๊ด ค่อย ๆ วางภารกิจสำคัญลงบนบ่าของ พิมพ์พิชา หรือ “หนูนิว” ลูกสาวหน้าหวานคนโตของบ้าน

เรื่องราวของเด็กผู้หญิงที่โตมาจากโลกของการ์ตูน

หนูนิว คือเด็กผู้หญิงที่เติบโตมาท่ามกลางกองหนังสือในออฟฟิศที่ทำงานของคุณพ่อคุณแม่ เธอจึงกลายเป็นเด็กที่อ่านเร็ว คิดเร็ว และซึมซับความสนุกของโลกการ์ตูนโดยไม่รู้ตัว เป็นชีวิตธรรมดาที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจจาก “อารมณ์ขัน” และ “ความสร้างสรรค์” ที่อยู่รอบตัวตั้งแต่จำความได้

หลังเรียนจบปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง เธอตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทด้าน Management ที่ Imperial College London เพื่อเติมมุมมองด้านธุรกิจและการบริหาร

ปี 2556 เธอก้าวเข้าสู่การทำงานในบริษัทของครอบครัว ท่ามกลางช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์กำลังเผชิญคลื่น Disruption อย่างชัดเจน ผู้คนหันไปเสพคอนเทนต์ออนไลน์มากขึ้น ร้านหนังสือทยอยปิดตัวลง และรายได้จากสิ่งพิมพ์เริ่มหดตัวอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเธอ คำสอนของคุณพ่อคุณแม่คือพลังบวกที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้น

“ท่านย้ำว่า ‘ขายหัวเราะไม่ใช่เป็นเพียงหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่ง แต่คือแบรนด์’ เพราะ ‘อารมณ์ขัน’ คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการทำเรื่องยากให้เข้าใจง่าย ทำเรื่องไกลตัวให้ใกล้ตัว ทำเรื่องซีเรียสให้กลายเป็นเรื่องขำ ๆ ที่คนเปิดใจรับฟัง เหมือนน้ำที่อยู่ในภาชนะไหนก็ได้ ตั้งแต่สื่อออนไลน์ถึงเวทีอีเวนต์”

วันนี้ ขายหัวเราะจึงกลายเป็นอาณาจักรคอนเทนต์ที่หลากหลาย มีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน คือ Salmon Books, Salmon House, Salmon Podcast, Salmon Lab, Vithita Animation ตลอดจนสำนักสื่ออย่าง The MATTER, M.O.M, Capital, CONT. และ นากธุรกิจ

ทุกยูนิตขับเคลื่อนการทำงานด้วยความเข้าใจ Insight ของมนุษย์ และหาวิธีนำเสนอออกมาให้โดนใจผู้บริโภคมากที่สุด โดยถ่ายทอดผ่าน Storytelling หรือมุกตลกอารมณ์ดีที่เป็น DNA ของวิธิตากรุ๊ป

ยากกว่า Disruption แต่คือ “การบริหารคน”

เธอเล่าว่า ตอนที่นิวเพิ่งกลับมา เรามีแค่ “บทเรียนในตำรา” แต่โลกของการทำงานจริงมันซับซ้อนกว่านั้น

“นิวเป็นเด็กเรียนดีมาตลอด ไปเรียนที่ไหนก็ไม่เคยกลัวว่าจะไม่รอด เพราะเชื่อว่า ถ้าเราเรียนรู้ ตั้งใจ เราก็จะอยู่ในระดับท็อปได้เสมอ” เธอเล่าพร้อมรอยยิ้ม

“ก็เลยคิดว่า…พอทำงานจริง เราก็น่าจะท็อปได้เหมือนกัน ไม่น่าอ่อนแอในสนามนี้”

“ตอนเรียน เราควบคุมได้ทุกอย่าง ตั้งใจอ่านหนังสือ เดาข้อสอบอาจารย์ได้ ก็ผ่านแน่นอน” หนูนิวเล่าย้อนถึงช่วงชีวิตในห้องเรียน

“แต่พอเข้าสู่การทำงาน มันไม่เหมือนเดิมเลย โลกของการทำงานเต็มไปด้วยตัวแปรที่เราควบคุมไม่ได้ ทั้งคนที่มีมุมมองต่างกัน รวมถึงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปทุกวัน”

เธอยอมรับว่าในช่วงแรกของการทำงาน สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่แค่เรื่อง Disruption แต่คือ “การบริหารคน” เราได้เรียนรู้ว่าการบริหารคนมันไม่ใช่แค่เรื่องตำรา HR หรือ Organization Behavior แต่เป็นเรื่องของ “จิตวิทยา” “ความเข้าใจคน” และ “การละอัตตา”

“เรื่องของความเข้าใจคน บางครั้งมันต้องอาศัยวัยและประสบการณ์นะคะ  แล้วก็นิวไม่มี credibility ด้วย เพราะการที่เรามารับตำแหน่งใน ฐานะลูกเจ้าของ  ทำให้คนกังขาอยู่แล้วว่า You ไม่ได้ตำแหน่งมาด้วยความสามารถ You เข้ามาด้วย Status บางอย่าง สิ่งเดียวที่พิสูจน์ได้คือการทำงานให้เห็นจริง นิวเลยต้องฝึก ‘วางอีโก้’ และรับฟังคำแนะนำให้มากที่สุด ถึงแม้บางเรื่องมันจะขัดใจแค่ไหนก็ตาม”

ทีมเก่ง

คือคำสั้น ๆ ที่เธอสรุปถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้น และเล่าถึงพี่ ๆ ผู้บริหารในแต่ละยูนิตอย่างภูมิใจ

โดยเฉพาะคนที่ต้องให้เครดิตอย่างมาก คือ คุณสันติ ผู้บริหารวิธิตา แอนิเมชั่น ที่สามารถ “Transform” จากโลกของการ์ตูนบนกระดาษ ไปสู่โลกของ Animation ได้อย่างสวยงาม

ปัจจุบัน วิธิตา แอนิเมชั่น กลายเป็น Character & Mascot One-Stop Service ครบทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบตัวละคร ไปจนถึงการสร้างเป็น Mascot สมบูรณ์แบบให้แบรนด์ต่าง ๆ เช่น “ก๊อตจิ” ของ ปตท., “แม่มณี” ของ SCB หรือ “น้องกล้วย” ของกรุงศรี รวมถึงผลงานสติ๊กเกอร์ไลน์

เมื่อเกิด Disruption เราจึงสามารถ Leverage และ Balance ได้ดียิ่งขึ้น เพราะไม่ได้ฝากไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวอีกต่อไป

“พี่ ๆ ผู้บริหารและทีมงาน เขานำแนวคิดใหม่ของคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยแตกแบรนด์ ขยายโลกของ ‘ขายหัวเราะ’ ให้หลากหลายมากขึ้น นิวรู้ดีค่ะ ทุกคน ‘อดทน’ กับความดื้อของนิวไม่น้อย”

เธอจบประโยคนี้ด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับยอมรับว่า มันคือช่วงเวลาที่ทำให้เธอโตขึ้น เข้าใจชีวิตการทำงานมากขึ้น และเข้าใจว่า “ความเก่ง” ไม่ได้มาจากตำรา แต่มาจาก “คนรอบตัว” ที่กล้าพูดความจริงกับเรา

มื่อ Marketeer ถามว่า ตอนนี้ Transform ผ่านความยากลำบากมาแล้วหรือยัง

เธอรีบตอบทันทีว่า

“ไม่เลยค่ะ เพราะว่ามันมีความลำบากใหม่ทุก ๆ ปี ธุรกิจสื่อ ธุรกิจ Content เป็นธุรกิจที่ปราบเซียนสำหรับหลาย ๆ คน เพราะทุกคนสามารถเป็น Content Creator ได้ แล้วมันเล่นอยู่ในสนามของแพลตฟอร์มที่ผู้ควบคุมหลักไม่ใช่เรา”

สมัยก่อนที่เราทำหนังสือของตัวเอง จะปรับจะเปลี่ยนทิศทางยังไงก็ทำได้ เพราะทุกอย่างอยู่ในมือเรา แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และแพลตฟอร์มที่เราใช้ส่วนใหญ่ก็ “ไม่ใช่ของเรา” ซึ่งควบคุมไม่ได้ว่าอัลกอริทึมจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ หรือจะให้คนเห็นคอนเทนต์แบบไหน

สิ่งเดียวที่ทำได้คือ “ปรับตัว” ให้เร็วพอ และเข้าใจธรรมชาติของมันให้ลึกพอ

เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ  ต้องมองให้เป็น “เรื่องธรรมดา” เป็นแค่ “อีกหนึ่งโจทย์” ของชีวิตและการทำงาน

10 ปีของการเรียนรู้ ความรู้ที่ไม่ได้มาจากตำรา

ถ้าจะให้เขียนตำราชีวิต เธอบอกว่าเขียนได้แน่นอน ไม่ใช่เพราะรู้มากกว่าใคร แต่เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วย “บทเรียนที่ตกตะกอนในชีวิตจริง”

สิ่งที่ “ถูกต้อง” สำหรับเรา อาจไม่ “ถูกใจ”

สิ่งหนึ่งที่นิวได้เรียนรู้คือ สิ่งที่ ถูกต้อง สำหรับเรา อาจไม่ ถูกใจ หรือไม่ถูกยอมรับสำหรับทุกคนก็ได้ ช่วงหนึ่งนิวเคยเป็นผู้บริหารที่ยึดถูกผิดเป็นหลัก ขัดใจใครก็ช่าง สุดท้ายพบว่า แนวทางนั้นไม่ดีต่อการบริหารคนเท่าไร

ช่วงแรกนิวเคยพยายาม “เอาใจทุกคน” เหมือนคนที่ยังหาจุดสมดุลไม่เจอ  มีการใช้กฎระเบียบมากเกินไปจนทีมไม่ลื่นไหล แต่พอยืดหยุ่นเกินไปก็กลับกลายเป็นหลวม จนสุดท้ายได้เรียนรู้ว่า “ไม่มีทางทำให้ทุกคนพอใจได้หมด”

ทุกวันนี้นิวเข้าใจแล้วว่า ไม่มีทางทำให้ทีมพอใจทั้งหมดได้ เพราะมุมมองของ “ผู้บริหารที่เป็นเจ้าของ” ไม่เหมือนกับ “พนักงานที่รับเงินเดือน”

เราไม่ได้ใช้เงินของบริษัท แต่เราคือคนต้องรักษาผลประโยชน์ของบริษัทให้มากที่สุด ต่อให้มีงบ ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่ใช้ ไม่ใช่เพราะหวง แต่เพราะมองเกมระยะยาว

เกมของนิวคือ “เกมที่ล้มไม่ได้” ถ้าพลาด เราต้องแก้ ต้องพาองค์กรกลับขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่ลาออกแล้วจบ นั่นทำให้วิธีคิด วิธีทำงาน และระดับความทุ่มเทของเราต่างจากทีมงานโดยสิ้นเชิง

แต่ในขณะเดียวกัน นิวก็เข้าใจมากขึ้นว่า มันไม่ใช่ความผิดของทีมที่เขามองต่าง เขาแค่ไม่มี Sense of Ownership แบบเรา สิ่งที่เราทำได้คือ “ปลูก” มันให้เกิดขึ้น ทำให้ทีมรู้สึกเป็นเจ้าของแบรนด์ รักในสิ่งที่ทำ และมีแรงบันดาลใจในการทำงาน

ปีที่ผ่านมาเลยเป็นปีที่นิวเรียนรู้ว่า “ขวัญและกำลังใจ” สำคัญไม่แพ้ “ตัวเลขธุรกิจ”

“การตั้งเป้าถูกต้อง บริหารทีมดี ยังไม่พอ ถ้าทีมไม่มีความสุข สิ่งนั้นก็จะไม่ยั่งยืน” เธอย้ำ

สิ่งที่ถูกต้อง” มาก่อน “สิ่งที่อยากทำ”

จากที่เป็นคน Introvert มาก ๆ งานที่ชอบคือทำคนเดียว คิดไอเดีย ทำพรีเซนต์ ไม่ต้องดีลกับคนเยอะ แต่พอถึงวันที่ต้องออกสื่อ ต้องบริหารคน มันไม่ใช่สิ่งที่ถนัดเลย แต่สุดท้ายก็ต้องบอกตัวเองว่า “นี่แหละ หน้าที่” นี่คือรสชาติของความเป็นผู้ใหญ่ เอา “สิ่งที่ถูกต้อง” มาก่อน “สิ่งที่อยากทำ”

จากเดิมถ้าไม่ชอบก็คือไม่ทำ หรือถ้ารู้สึกว่า “เราทำถูกแล้ว” ก็จะยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ไม่ประนีประนอม ไม่ยอมง่าย ๆ

“เมื่อก่อนนิวรับคำติไม่ได้ แต่ตอนนี้เรียนรู้ที่จะ “แยกความรู้สึกออกจากบทบาท” ฟังในฐานะหัวหน้า ไม่ใช่ในฐานะ “นิว” เวลามี Feedback เชิงลบ จะบอกตัวเองว่า นี่คือเรื่องของ งาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว”

พอทำงานด้านแบรนด์มากขึ้น ก็เริ่มเห็นว่า การทำงานให้ดี ไม่ใช่แค่ “ทำให้จบ” แต่ต้อง “เข้าใจแก่น” ของมันจริง ๆ

“ พี่วิชัย ผู้บริหารกรุ๊ป Salmons (Salmon House, Salmon Lab, Salmon Podcast)เคยเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ทำให้เขาคิดลึกได้ เพราะเขา  เสพสื่อทุกแบบ ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ เพื่อเรียนรู้ว่าคนอื่นมองโลกยังไง คิดยังไง วิธีเล่าของเขาเป็นยังไง  ฟังดูเหมือนเสียเวลานะคะ แต่จริง ๆ มันคือ คลังข้อมูลในหัว ที่ช่วยให้เราเข้าใจโลกและคนมากขึ้น”

อย่าหยุดที่สิ่งที่เห็น

อีกอย่างที่นิวเรียนรู้จากเขาคือ “อย่าหยุดที่สิ่งที่เห็น”

เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อย่าเพิ่งรีบสรุป แต่ให้ถามต่อว่า “อะไรคือเหตุผลลึก ๆ ข้างใต้” เพราะ Insight คือรากฐานของทุกการเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจให้ลึกพอ ทุกอย่างที่ต่อจากนั้นจะ “ตรงกว่า” และ “แม่นกว่า”

นิวเลยเริ่มฝึก “รีวิวตัวเองทุกวัน” เวลามีปัญหา นิวจะถามว่า “จริง ๆ แล้วปัญหานี้เกิดจากอะไร”

“ถ้าทำอีกครั้งเราจะเปลี่ยนยังไง” “Insight ของเรื่องนี้คืออะไร” บางครั้งพอคิดลึกขึ้น เราก็เจอคำตอบใหม่ โดยไม่ต้องพยายามเลย

“ทุกวันนี้ การตกตะกอนกลายเป็น “นิสัยประจำวัน”ไปแล้วค่ะ  ไม่ใช่เพื่อจะเก่งกว่าคนอื่น แต่เพื่อ “เข้าใจตัวเอง และเข้าใจโลก” ให้มากขึ้น เพราะสุดท้าย การทำงานที่ดี ไม่ได้เริ่มจากการรู้ทุกอย่าง แต่มาจาก “การกล้าทบทวนทุกอย่าง” ที่เราเคยทำ “

เบื้องหน้าสาวหวาน เบื้องหลังเป็นสาวถึกจริง ๆ (ถึก คือ Grit ที่เป็น mindsetสำคัญทุกยุค)

เธอเล่าให้ฟังต่อยิ้ม ๆ ว่า

“พ่อเคยพูดขำ ๆ ว่านิว ‘ถึก’ คำนี้ตอนเด็กได้ยินแล้วแอบน้อยใจ อยากให้ชมว่าสวยหรือเก่ง แต่ตอนนี้เข้าใจว่า ‘ถึก’ คือคำชมจากใจคนเป็นพ่อ หมายถึง ‘อดทน สู้ต่อ ไม่ยอมแพ้’ และนั่นแหละคือเหตุผลที่พ่อเลือกให้นิวมาดูแลบริษัทต่อ”

ทุกวันนี้ หนูนิวดูแล ขายหัวเราะ และ วิธิตา แอนิเมชั่น แบบเต็มตัว ส่วน BU อื่น ๆ ก็มีผู้บริหารพี่ ๆ ช่วยดู และตั้งใจจะโฟกัสที่ “ภาพใหญ่” มากขึ้น ทั้งในมุม Business Model และ Strategy เพื่อให้บริษัทเติบโตอย่าง “ยั่งยืน” และพยายามดึงตัวเองออกจากการเป็นศูนย์กลาง แล้วสร้างระบบและทีมที่แข็งแรง ให้ทำงานได้ด้วยตัวเอง

พร้อม ๆ กับคัดเลือกคนใหม่ ๆ มาร่วมทีม แต่ยอมรับว่าการหาคนที่ “เหมาะจริง” ยากมาก เพราะในยุคนี้ทุกคนบอกว่าตัวเองเป็น Content Creator ได้ แต่คนที่ทำได้จริง และเข้าใจ “ดีเอ็นเอของ ขายหัวเราะ” มีไม่มาก ทีมต้องเข้าใจทั้งอารมณ์ขัน, คาแรกเตอร์, และอัลกอริทึมโลกออนไลน์

เพราะการ์ตูน ขายหัวเราะ ไม่ใช่แค่สนุก แต่ต้องสื่อสารกับแบรนด์และผู้ชมได้ในทุกแพลตฟอร์ม

Balance ชีวิต : ผู้บริหาร ภรรยา และแม่

นอกจากเป็นผู้บริหาร เธอก็ยังเป็นภรรยา และแม่ลูกอ่อน ซึ่งเป็นวัยที่ลูกต้องการแม่มาก การ Balance ชีวิตให้ดีเลยเป็นเรื่องที่จำเป็น

ดังนั้นเธอตั้งใจไว้ว่าจะทำงานเต็มที่วันละ 12 ชั่วโมง ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น หลังจากนั้นคือเวลาของ “ครอบครัว” ทั้งลูกและสามี

“ส่วน Me Time แทบไม่มีค่ะ แต่นิวพยายาม ‘บังคับให้มี’ เช่น ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ เพราะรู้ว่าถ้าป่วย จะกระทบทั้งลูกและงาน”

เธอเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะ Balance ได้คือ การมีวินัยเรื่องเวลาจริง ๆ

วันนี้ต้องยอมรับว่า แม้ “หนูนิว” จะผ่านบททดสอบและทำสำเร็จมาแล้วหลายด่าน ในการต่อยอดแบรนด์เก่าแก่ให้กลับมามีชีวิตในโลกดิจิทัล

แต่การเปลี่ยนแปลงในโลกสื่อนั้นไม่มีวันหยุด

หัวใจที่ยังเชื่อในพลังของอารมณ์ขัน และความสุขที่มาจากการเล่าเรื่องให้คนยิ้มได้เสมอ คือสิ่งที่ทำให้เธอและทีมงาน “ก้าวต่อไป” อย่างไม่มีวันหยุด


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer