จากสตาร์ทอัพเพาะปลาแห่งความหวังที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็น “ยูนิคอร์น AgriTech ตัวแรกของอินโดนีเซีย” วันนี้ชื่อของ eFishery กลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความพังพินาศ เมื่อผู้ก่อตั้งถูกจับในข้อหาบิดเบือนข้อมูลทางการเงินและตกแต่งบัญชีเพื่อสร้างภาพการเติบโตที่ไม่มีอยู่จริง

หลายคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “The Fall of Indonesia’s Fish Unicorn”

คดีนี้ไม่เพียงเขย่าวงการสตาร์ทอัพอินโดนีเซียเท่านั้น แต่ยังสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วอาเซียน ที่เริ่มตั้งคำถามว่า “ความจริง” ของธุรกิจยุคยูนิคอร์นอยู่ตรงไหนกันแน่

🔴 ภูมิหลังและการเติบโต

eFishery ก่อตั้งในปี 2013 โดย Gibran Huzaifah และ Chrisna Aditya ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีจุดเริ่มต้นจากการพัฒนาอุปกรณ์ให้อาหารอัตโนมัติ (smart feeder) สำหรับชาวประมง/เพาะเลี้ยงปลา-กุ้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และใช้เทคโนโลยี IoT วิเคราะห์ข้อมูลฟาร์มต่างๆ

บริษัทได้รับการลงทุนจากกองทุนขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น SoftBank Vision Fund, Temasek Holdings และอื่นๆ โดยในปี 2023 มีการระดมทุนรอบซีรีส์ D ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7,300 ล้านบาท) ทำให้มีมูลค่าบริษัทราว 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 51,100 ล้านบาท )

ภารกิจของบริษัท ถือว่า “มีคุณค่าทางสังคม” เพราะกล่าวว่าจะช่วยผู้เพาะเลี้ยงปลา-กุ้งในอินโดนีเซีย (ซึ่งเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงขนาดใหญ่) ให้เข้าถึงเทคโนโลยี แพลตฟอร์ม และสินเชื่อ เพื่อปรับปรุงผลผลิตและรายได้

🔴 จุดสูงสุดของ eFishery

สถานะยูนิคอร์น: eFishery ได้รับการจัดอันดับเป็น “ยูนิคอร์น” ในปี 2023 หลังจากระดมทุนรอบ Series D มูลค่าประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7,000 ล้านบาท)

นักลงทุนหลักในรอบนี้ ได้แก่ Temasek Holdings (สิงคโปร์), SoftBank Vision Fund II, Sequoia Capital India, 500 Global, และ Northstar Group

มูลค่าบริษัทหลังระดมทุน (Post-money valuation) ถูกประเมินไว้ที่ ราว 1.3 – 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 47,000–51,000 ล้านบาท) ทำให้ eFishery กลายเป็น “AgriTech Unicorn” ตัวแรกของอินโดนีเซีย และหนึ่งในไม่กี่รายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะธุรกิจ: eFishery เป็นสตาร์ทอัพในกลุ่ม “Aquaculture Tech” หรือเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งถือเป็นโมเดลเฉพาะทางมาก  จุดเด่นคือใช้ IoT + Data Analytics เพื่อช่วยเกษตรกรและฟาร์มปลา-กุ้งในเรื่อง

    • การให้อาหารอัตโนมัติ (Smart Feeder)
    • การเชื่อมต่อข้อมูลการเพาะเลี้ยงแบบเรียลไทม์
    • การเข้าถึงสินเชื่อผ่านแพลตฟอร์ม “Fish Bank”

การขายอาหารสัตว์และผลผลิตผ่าน Marketplace ของตัวเอง

🔴 อาการเริ่มต้นของปัญหา

มีสัญญาณเตือนหลายอย่าง เช่น ยอดการขายไม่เติบโตตามที่อ้าง ข้อมูลการผลิต/การติดตั้งอุปกรณ์ feeder ที่ดูเกินจริง เจ้าหน้าที่บางคนรายงานว่าโรงงานผลิต feeder ทำได้เพียงไม่กี่พันหน่วยต่อปี แต่บริษัทอ้างว่ามีหลายแสนหน่วยใช้งานแล้ว

การตรวจสอบพบว่า บริษัทใช้ “งบการเงินสองชุด” คือชุดหนึ่งสำหรับภายในจริง และชุดที่ “ดูดี” สำหรับคนนอก (ผู้ลงทุน/ผู้ตรวจสอบ) ซึ่งชุดภายนอกมีการ “แต่งตัว” ให้ดูว่ามีกำไร รายได้เติบโตอย่างมาก ทั้งที่ความเป็นจริงต่างกันมาก

🔴 เมื่อถึงบทการล่มสลาย

ในช่วงปลายปี 2024 มีผู้แจ้งเบาะแส (whistleblower) ถึงบอร์ดบริษัทว่า eFishery มีการจัดทำบัญชีและรายงานผลที่ “เกินจริง” / “บิดเบือน” จนสุดท้ายมีการตั้งทีมตรวจสอบอิสระเพื่อสอบสวน

ผลการตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติ เช่น รายได้ที่อ้างในงบดุลช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 ดูว่าเป็น “กำไร” ประมาณ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 584 ล้านบาท) แต่ความจริงคือขาดทุนประมาณ 35.4 ล้านดเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,292 ล้านบาท)

รายได้อ้างว่าอยู่ที่ 750 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 27,375 ล้านบาท) แต่จริงอยู่ใกล้ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,475 ล้านบาท)  ทำให้มีการอ้าง “ยอดขายปลอม” ราว 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 21,900 ล้านบาท)

ต่อมา ในปี 2025 มีการจับกุมผู้บริหารของบริษัทหลายคน รวมถึงผู้ก่อตั้ง และถูกตั้งข้อกล่าวหา “บิดเบือนข้อมูลทางการเงิน” โดยหน่วยงานตำรวจของอินโดนีเซีย

🔴 จุดตกต่ำและการสูญเสียสถานะยูนิคอร์น

ภายหลังการเปิดโปงในปี 2024–2025 ว่า eFishery ตกแต่งบัญชีและบิดเบือนรายได้ จนมูลค่าจริงหดเหลือเพียงเศษเสี้ยวของเดิม

นักลงทุนหลายราย เช่น Temasek และ SoftBank ต้องตัดขาดทุน (write-off) และ ถอดชื่อ eFishery ออกจากพอร์ต Unicorn

ปัจจุบัน (2025) สื่อในอินโดนีเซียและระดับโลกเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “The Fall of Indonesia’s Fish Unicorn” หรือ “การล่มสลายของยูนิคอร์นปลาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

🔴 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

โมเดลธุรกิจ: แม้จะมีแนวคิดดี แต่การเติบโตแบบก้าวกระโดดอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาด เช่น ปลา-กุ้งจำนวนมาก การเข้าถึงฟาร์มต่างจังหวัดที่กระจัดกระจาย การวัดผล/ติดตามยาก

แรงกดดันจากการเติบโต: บริษัทถูกคาดหวังให้เติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อรักษามูลค่าที่สูง และมีแรงกดดันให้รายงานตัวเลขที่ “น่าประทับใจ” เพื่อดึงดูดนักลงทุน

กลไกตรวจสอบภายใน/ภายนอกที่ไม่รัดกุมพอ: แม้ว่ามีการตรวจสอบและมีบริษัทตรวจสอบบัญชีใหญ่เข้ามา แต่ยังไม่สามารถจับการโกหกหรือการบิดเบือนบัญชีได้จนกระทั่งเรื่องถูกเปิดเผย

สภาพแวดล้อมการลงทุนในภูมิภาค: ช่วงก่อนหน้ามีเงินทุนไหลมาก (venture capital boom) ทำให้บางบริษัทได้รับการประเมินสูงโดยอาจขาดฐานะทางธุรกิจรองรับได้จริง

ถือเป็น “หัวใจของคดี eFishery” เลย เพราะกรณีนี้ไม่ได้หลุดแค่ระดับผู้บริหาร แต่ยังสะท้อน “ช่องโหว่ในระบบตรวจสอบ” ของสตาร์ทอัพยูนิคอร์นในภูมิภาคด้วย

🔴 ผู้ตรวจสอบบัญชีของ eFishery คือใคร

ตามรายงานจาก The Diplomat และ Bloomberg, eFishery ใช้บริการจากบริษัทตรวจสอบบัญชีระดับสากล (แต่ ไม่ได้เป็น Big 4 โดยตรง) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ได้รับการรับรองในอินโดนีเซีย  ไม่ใช่ Deloitte, PwC, EY หรือ KPMG โดยตรง แต่เป็น “affiliate firm” ที่มีสิทธิ์ใช้ชื่อร่วมในประเทศ

บริษัทตรวจสอบบัญชีเหล่านี้มักรับงานสตาร์ทอัพหลายรายที่โตเร็วและมีโครงสร้างซับซ้อน ซึ่งทำให้ มาตรฐานการตรวจสอบมักเน้นตามเอกสารมากกว่าการตรวจภาคสนาม

เทคนิคที่ eFishery ใช้ หลอกตาผู้สอบบัญชี

ทุกตัวเลขมีหลักฐาน แต่หลักฐานถูกจัดฉาก”  อ้างจากอดีตพนักงานฝ่ายการเงิน eFishery (The Runway Ventures, 2025)

eFishery ใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและเป็นระบบมากในการแต่งบัญชี เช่น

  • สร้างใบสั่งซื้อและใบเสร็จปลอม (Fake Invoices)
    โดยอ้างว่ามีการขายอุปกรณ์ให้อาหารอัตโนมัติ (Smart Feeder) ไปยังเกษตรกรหลายพันราย ทั้งที่หลายรายไม่มีตัวตนจริง หรือถูกนับซ้ำจากตัวแทนจำหน่าย
  • บันทึกรายได้ล่วงหน้า (Premature Revenue Recognition)
    คือรับรู้รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการที่ยังไม่ส่งมอบจริง หรืออยู่ระหว่างทดลองใช้งาน
  • สร้าง บริษัทคู่สัญญาในเครือ” (Shell Entities)
    ใช้บริษัทในเครือที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกรรมระหว่างกัน  เพื่อเพิ่มยอดขายปลอมในระบบบัญชี
  • มี สองระบบบัญชี
    หนึ่งสำหรับภายใน (ใช้ติดตามกระแสเงินจริง) และอีกหนึ่ง “เวอร์ชันโชว์นักลงทุน” ซึ่งดูดี มีกำไร มีการเติบโตสูงกว่า 5 เท่า

เหตุผลเชิงโครงสร้างว่าทำไมผู้ตรวจสอบบัญชีไม่พบ

สตาร์ทอัพไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบเข้มเหมือนบริษัทจดทะเบียน
eFishery เป็นบริษัทเอกชน (private company) จึงไม่ต้องส่งงบการเงินให้หน่วยงานกำกับ เช่น OJK (อินโดนีเซีย SEC) ตรวจซ้ำ

ข้อมูลทางการเงินถูกควบคุมโดยผู้ก่อตั้งและทีมเล็กมาก
ผู้บริหารบางคนถือสิทธิ์เข้าระบบ ERP ได้เพียงไม่กี่คน และสามารถ “ล็อก” หรือ “แก้ไข” รายการบัญชีได้โดยตรง

ผู้ตรวจสอบบัญชีไม่ทำการตรวจยืนยันภาคสนาม (field verification)
โดยเฉพาะยอดขายให้เกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ห่างไกล ซึ่ง audit firm ส่วนใหญ่ตรวจเฉพาะ “เอกสารในระบบ” ไม่ได้ลงพื้นที่ไปดูฟาร์มจริง

แรงกดดันด้านเวลาและค่าจ้าง
สตาร์ทอัพที่โตเร็วต้องปิดบัญชีและเตรียมรายงานให้ VC อย่างเร่งด่วน (บางครั้งภายใน 2–3 สัปดาห์) ทำให้ auditor ต้องตรวจแบบ “sample-based” (สุ่มตัวอย่าง) ซึ่งง่ายต่อการผิดพลาด

การตรวจสอบเน้นความน่าเชื่อถือเชิงรูปแบบ ไม่ใช่ความถูกต้องเชิงธุรกิจ
หากบริษัทมีเอกสารครบ มีลายเซ็น มีระบบ ERP ที่ดูดี auditor มักถือว่า “ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบ” แม้ตัวธุรกรรมอาจไม่เกิดขึ้นจริง

🔴 จับผู้ก่อตั้ง ผู้บริหาร

Gibran Huzaifah (ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO) ถูกควบคุมตัวตั้งแต่ 31 กรกฎาคม 2025 โดยหน่วยงานตำรวจเศรษฐกิจพิเศษของอินโดนีเซีย (Directorate of Special Economic Crimes) จากข้อกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการบิดเบืองงบการเงินของบริษัท ซึ่งรวมถึงการเพิ่มยอดรายได้ปลอมเพื่อดึงดูดนักลงทุน

Angga Hardian Raditya (อดีตรองประธาน) และ Andri Yadi (อดีตรองประธานฝ่าย Aquaculture Financing) ถูกควบคุมตัวร่วมกับ Gibran จากข้อกล่าวหาคดีเดียวกันว่ามีการทุจริตและยักยอกโดยใช้การบิดเบืองข้อมูลการลงทุนภายในบริษัท

โดยข้อหาคือ มีการ “ร่วมมือกัน” ทำรายการบิดเบือน เพื่อให้บริษัทดูมีมูลค่าและเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงการเพิ่มยอดรายได้ปลอมและบันทึกการลงทุนที่ไม่เป็นจริง

มีมูลค่าที่ตำรวจประเมินว่า “ถูกยักยอก/บิดเบือน” อย่างน้อย 15 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ US$0.9 ล้าน) (ประมาณ 33 ล้านบาท)

ถึงตอนนี้ผู้ถูกจับถูกตั้งเป็น “ผู้ต้องสงสัย”  และยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ  ยังไม่มีข่าวสาธารณะที่ยืนยันว่าได้มีการฟ้องร้องเสร็จสิ้นแล้ว

🔴 ผลกระทบที่ตามมา 

  • นักลงทุนและกองทุน VC เริ่มมี ความระมัดระวังมากขึ้น ต่อการลงทุนในสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีกรณีล่ม/โกงหลายครั้ง เช่น eFishery, Zilingo, TaniHub เป็นต้น
  • ข้อมูลของ DealStreetAsia / MAGNiTT ระบุว่า ในภูมิภาคนี้ จำนวนดีล  และมูลค่าการลงทุน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลัง โดยเฉพาะปี 2023-2024
  • กองทุนใหญ่อย่าง Temasek Holdings (สิงคโปร์) ซึ่งเคยลงทุนใน eFishery ก็ “ชะลอ/ลด” การลงทุนโดยตรงในสตาร์ทอัพรุ่นต้น (early-stage) ลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังเจอการขาดทุน/ปัญหาโกงของ eFishery และอื่น ๆ
  • นักลงทุนและผู้ให้ทุนเริ่มตั้ง มาตรฐานที่เข้มขึ้น ในเรื่อง due diligence ตรวจสอบผู้ก่อตั้ง, โมเดลธุรกิจ, ความเป็นจริงของตัวเลข  และการกำกับดูแล มากขึ้น
  • นักลงทุนหลายรายสูญเสียเงินมหาศาล  มีการประเมินว่าอาจสูญเสียถึงประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10,950 ล้านบาท) ในการลงทุนใน eFishery
  • ภาพลักษณ์ของสตาร์ทอัพอินโดนีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับผลกระทบ: ความเชื่อมั่นลดลง นักลงทุนอาจระมัดระวังมากขึ้น และการระดมทุนในวงการสตาร์ทอัพอาจได้รับผลกระทบในวงกว้าง
  • ผู้เพาะเลี้ยงปลา–กุ้งซึ่งเคยพึ่งพาแพลตฟอร์มของบริษัทอาจได้รับผลกระทบ เช่น สัญญาที่ไม่ได้เป็นไปตามที่อ้าง หรือสินเชื่อ/อุปกรณ์ที่ไม่ทำงานตามแผน
  • ระบบกำกับดูแล (governance) และการตรวจสอบบัญชีในตลาดสตาร์ทอัพได้รับคำถามใหม่: เช่น การตรวจสอบ due diligence, การตรวจสอบการเติบโตจริง, การตรวจสอบการไหลเงิน ฯลฯ

คดี eFishery คือสัญญาณเตือนแรงว่า “ตัวเลขสวยไม่เท่าความจริง” ในโลกสตาร์ทอัพที่เติบโตเร็วเกินตรวจสอบ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่นักลงทุนให้ค่ากับ ความโปร่งใสมากกว่า ความหวือหวา


อ้างอิง : The Diplomat / International Finance  /  The Runway Ventures  / The Business Times  / Bloomberg  / Antara News / South China Morning Post / Analyse Asia  / Financial Times


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer