ไมรู้ว่านักธุรกิจขนาดเล็ก พ่อค้าแม่ขายตามตลาดจะตามขบวนประเทศไทย 4.0 ได้หรือไม่ หรือไม่รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า ขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ เขาบ่นกันว่าค้าขายไม่ดี เงินมันหายไปไหนกันหมด
สาเหตุที่เงินหายไปจากท้องตลาดหรือระบบเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินที่หายไปเพราะการโกงบ้านกินเมืองแล้วหอบเงินหนีไปใช้ต่างประเทศ (ไม่รู้ว่ากฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายของเราจะเข้มแข็งเมื่อไร) รวมทั้งการเร่งจัดระเบียบในหลายเรื่องเร็วและแรงเกินไป เช่น ร้านขายอาหารบนบาทวิถี ทำให้พ่อค้าแม่ขาย ลำบากในการทำมาหากิน
รัฐบาลบอกกว่าส่งออกดีแต่เงินมันกระจายไปไม่ถึงระดับล่าง มันอยู่กับคนระดับบนที่การใช้เงินไม่กระจายไปยังระดับล่าง
สาเหตุอีกอย่างที่หลายคนอาจจะไม่คิดถึง ก็คือ ไอ้ 4.0 นี่แหละครับ
ผู้บริโภคในทุกระดับใช้จ่ายเงินกับเทคโนโลยีต่างๆ ปีละหลายแสนล้านบาท และก็ใช้อย่างไม่ค่อยจะรู้ตัวผ่าน อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ (อุปกรณ์ประจำตัวของคนทุกระดับ) ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าบริการผ่านโทรศัพท์มือถือ การดาวน์โหลด แอปพลิเคชั่นต่างๆ ดูหนัง ฟังเพลง ผ่านอินเทอร์เน็ต อื่นๆ อีกมากมาย โดยไม่ค่อยจะรู้ตัวว่ากำลังจ่ายเงินผ่านค่าบริการอินเทอร์เน็ตและค่าใช้จ่ายต่อเนื่องอื่นๆ
ธุรกิจขนาดใหญ่ใช้เทคโนโลยีสร้างความได้เปรียบและดูดเงินเป็นว่าเล่น สมัยผมเรียนเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ตำราบอกว่าทรัพยากรจะถูกถ่ายเทจากประเทศที่พัฒนาน้อยไปสู่ประเทศที่พัฒนามาก เรื่องแบบนี้เข้าใจไม่ยากเท่าไร ชาวนา ชาวสวนทำนา ทำไร่ ขายผลผลิตไปซื้อรถยนต์หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตทำให้การถ่ายเททรัพยากรง่ายและ รวดเร็วขึ้น
หากจะว่ากันไปแล้วธุรกิจแบบนี้เป็นการใช้เทคโนโลยีมาสร้างความสะดวก ง่ายและรวดเร็วให้ผู้บริโภคใช้และเอาจำนวนความต้องการของผู้บริโภคที่มากนี้ไปหารายได้ด้วยรูปแบบธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า บริการ ข้อมูล ธุรกรรมทางการเงิน ฯลฯ
ทำให้ผมอดคิดไปไม่ได้ว่า ต่อไปในอนาคตประเทศที่ไม่พัฒนาจะเอาทรัพยากรอะไรไปแลกกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน ทรัพยากร ฯลฯ แล้วสุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรไปแลกเพราะเทคโนโลยีมันเข้าไปแทนที่ได้เกือบทุกเรื่อง
ที่พอจะฝากความหวังไว้เป็นปราการด่านสุดท้ายได้ ก็คือ เกษตรกรรม อาหารการกิน เพราะเทคโนโลยีทำให้อิ่มไม่ได้ แต่ทั้งหมดเกษตรกรก็ต้องรู้จักใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงการผลิตให้ทันความต้องการของผู้บริโภคในยุค 4.0
ผู้บริโภคในยุค 1.0 มักมีความต้องการไม่หลากหลายและซับซ้อน การตัดสินใจซื้อเน้นเรื่องราคาและกระบวนการซื้อขายเป็นสำคัญ กลยุทธ์การตลาดจึงเป็นแบบ Mass Market เน้นเรื่องราคาและการขายเป็นสำคัญ การผลิตเน้นการผลิตจำนวนมากไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความแตกต่างของสินค้า
ผู้บริโภคในยุค 2.0 เริ่มมีความต้องการที่หลากหลายขึ้น ให้ความสำคัญกับประโยชน์และคุณภาพของสินค้ามากกว่าราคา เริ่มพิจารณาความแตกต่างของสินค้า กลยุทธ์การตลาดเริ่มสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า เน้นคุณภาพ สร้างแบรนด์ให้ลูกค้ารักและจดจำ เริ่มใช้การโฆษณาและการสื่อสารการตลาดที่หลากหลาย เรียกรวมๆ ว่ากลยุทธ์การตลาดแบบ Value Customer Marketing
ผู้บริโภคในยุค 3.0 เริ่มให้ความสำคัญของความพอใจด้านอารมณ์มากกว่าเหตุผลและคุณภาพของสินค้า แบบภาษาวัยรุ่นว่า “โดน” ผู้บริโภคในยุคนี้เริ่มใช้เทคโนโลยีในการค้นหาข้อมูล และติดต่อสื่อสาร
แบบว่า ชีวิตติดโซเชียล ต้องการสินค้าหรือบริการที่ตนเองมีส่วนร่วมแบบว่าเป็นสินค้าเฉพาะเจาะจงสำหรับตนเองยิ่งพอใจมาก กลยุทธ์การตลาด ต้องเป็นแบบ Digital Customer Marketing พัฒนาเทคโนโลยีหรือใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เน้นความคิดสร้างสรรค์ สร้างภาพลักษณ์ให้แตกต่างโดนใจลูกค้าเป้าหมาย ใช้ช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย (Multi- channel)
ผู้บริโภคยุค 4.0 มักจะเลือกสินค้าที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ติดการใช้เทคโนโลยี ชอบความสะดวก ซื้อสินค้าที่ไหนก็ได้ ไม่ยึดติดกับแบรนด์ มีความรู้เรื่องสินค้าดี รู้จักค้นหาข้อมูล เชื่อโซเชียลมากกว่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ กลยุทธ์การตลาดต้องเป็นแบบ Sophisticated Customer Marketing ที่สินค้าหรือธุรกิจเป็นผู้ถูกเลือกมากกว่าเป็นผู้เสนอขาย ต้องสื่อสารและใช้ช่องทางจำหน่ายที่หลายหลาก ต้องใช้เทคโนโลยีที่เข้าถึงผู้บริโภคอย่างได้เปรียบ
กลยุทธ์การตลาดที่ใช้ได้ผลกับผู้บริโภคในยุค 4.0 คือการสร้างความผูกพันกับลูกค้า (Customer Engagement) .พยายามให้ลูกค้าอยู่กับสินค้าตลอดเวลา มีช่องทางสื่อสารและจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายแต่เชื่อมโยงกันทั้งหมดเสมือนเป็นช่องทางเดียวกัน (Omni-channel) ไม่ว่าจะเป็น หน้าร้าน เว็บไซต์ โซเชียล ต้องพูดเรื่องเดียวกัน ข้อเสนอเหมือนกัน โปรโมชั่นเดียวกันผู้บริโภคในยุค 4.0 ไม่ยึดติดกับแบรนด์ ไม่รักจริงแบบถาวร เทคโนโลยีทำให้ลูกค้าเปลี่ยน มาเร็วไปเร็ว จ่ายเร็ว พอใจเร็ว และก็มักจะเป็นเหมือนๆ กัน
ไม่ว่าประเทศไทยจะไปถึงยุค 4.0 หรือไม่ก็ตาม ไปได้แบบใดก็ตาม แต่ผู้บริโภคยุคใหม่เขาเปลี่ยนไปแล้วแน่นอนครับ

