ผ่านมาครึ่งปีแรก 2018 Workpoint  มีกำไรแค่ 281 ล้านบาท ซึ่งหากนำมาเทียบกับครึ่งปี 2017 นั้น Workpoint มีกำไรอยู่ที่ 546 ล้านบาท

พูดง่ายๆ 6 เดือนแรกของปีนี้หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน กำไรของ Workpoint หายไปถึง 265 ล้านบาทเลยทีเดียว

อีกทั้งราคาหุ้นของ Workpoint ยังตกลงมาอย่างน่าใจหาย จากเมื่อสิ้นปี 2017 ราคาอยู่ที่ 84 บาท/หุ้น แต่ราคาหุ้น Work ในวันนี้อยู่ที่ 31.50 บาท (ข้อมูล: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

เกิดวิกฤตอะไรขึ้นกับ Workpoint

อันดับแรกสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องเรตติ้งทางจอทีวีที่นับวันยิ่งอ่อนแรงลง โดยเฉพาะเรตติ้งในช่วงเวลา  prime time ณ วันนี้หากเทียบกับเรตติ้งของปีที่แล้ว

เรตติ้งของ Workpoint หล่นฮวบ

 

ไม่แปลกเมื่อเรตติ้งช่วงเวลา Prime time ซึ่งเป็นเวลาขายโฆษณาที่แพงที่สุดและแบรนด์สินค้านิยมซื้อโฆษณาในช่วงเวลานี้มากที่สุด ไม่หวือหวาเหมือนในอดีต

ย่อมส่งผลให้อัตราการซื้อโฆษณาจากแบรนด์สินค้าและเอเจนซี่ก็จะน้อยลงตามไปด้วย โดยอัตราค่าโฆษณาเวลา Prime time ของ Workpoint อยู่ที่ 80,000-94,500 บาท/ 15 วินาที/ครั้ง ยังไม่รวมส่วนลด (ข้อมูล: บริษัท จินดามณี)

ไม่ใช่แค่นั้นแต่ภาพรวมเรตติ้งของ Workpoint ยังลดลงอย่างต่อเนื่องจากในปีที่แล้วที่เคยมีบางครั้งขึ้นไปอันดับ 2 และจะยืนพื้นคงที่อยู่อันดับ 3 แต่ ณ ปัจจุบัน Workpoint TV อยู่ในอันดับ 4

เหตุผลที่เรตติ้ง Workpoint ลดลงต่อเนื่องจากปีที่แล้วมาจากสารพัดรายการประกวดร้องเพลงอาทิ The mask singer, ไมค์หมดหนี้, I Can See your voice และอื่นๆ ที่รวมกันแล้วเกือบๆ 10 รายการ ที่เคยเป็นอาวุธหลักสร้างเรตติ้งและเรียกเม็ดเงินโฆษณา กลับไม่ทรงพลังเหมือนในอดีต เมื่อผู้ชมเริ่มเบื่อกับความจำเจ

ไม่ใช่แค่รายการประเภทร้องเพลง แต่ยังรวมไปถึงรายการเกมโชว์ต่างๆ ก็ไม่โดนแล้วปังเหมือนอย่างในปีที่แล้วด้วยเช่นกัน

ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือพฤติกรรมคนดูโดยเฉพาะคนในกลุ่ม GEN Y อายุ 18-38 ปี เลือกที่จะรับชมทางออนไลน์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการรับชมย้อนหลัง รวมไปถึงแบบสะดวกสามารถรับชมได้ทุกที่ผ่านหน้าจอ Smartphone 

พฤติกรรมการนั่งเฝ้าจอ TV เพื่อรอดูละครเรื่องโปรด รายการที่ตัวเองชื่นชอบ ค่อยๆ เลือนหายไปจากคนในกลุ่ม GEN Y  

ถึงจะส่งผลให้เรตติ้งทุกช่องน้อยลงกว่าในอดีต แต่ Workpoint TV เองดูจะได้รับผลกระทบรุนแรงไม่ใช่น้อยเพราะจากในปีที่แล้วมีบางเดือนเคยขึ้นไปถึงอันดับ 2 และยืนพื้นที่อยู่ในอันดับ 3

ณ วันนี้เรตติ้งล่าสุดในเดือน 9 นั้น Workpoint อยู่ในอันดับ 4

 

ถึงแม้ Workpoint จะมีหลากหลายธุรกิจในมือ แต่ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้บริษัทมากที่สุดคือ “ธุรกิจTV” ที่คิดเป็น 75-80% เลยทีเดียว

เพราะฉะนั้นแม้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แม้ธุรกิจอย่างจัดอีเวนต์, รับจ้างในงานโปรดักชั่น จนไปถึงธุรกิจใหม่อย่างขายเครื่องสำอางแบรนด์ Let me in beauty จะมีรายได้เติบโตจากปีที่แล้ว

แต่ก็ยังไม่สามารถมาทดแทนธุรกิจหลักอย่าง TV ที่รายได้และกำไรลดน้อยหายไปเยอะ

เพราะฉะนั้นการที่ Workpoint จะกลับมายืนที่เดิมมีรายได้ในปีนี้ เทียบเท่ากับปีที่แล้วที่มีรายได้ 3,877 ล้านบาท

แทบจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะ 9 เดือนในปีนี้ Workpoint  มีรายได้อยู่ที่ 2,762 ล้านบาท นั้นแปลว่าภายใน 3 เดือนสุดท้ายของปี Workpoint จะต้องหารายได้ให้ถึง 1,115 ล้านบาท 

ส่วนกำไรใน 9 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 422 ล้านบาท ซึ่งหากจะให้เท่ากับปีที่แล้วภายใน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2018 Workpoint จะต้องมีกำไรเพิ่มเข้ามาอีกถึง 484 ล้านบาท

ต้องจับตาดูว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอย่าง ปัญญา นิรันดร์กุล ที่มีหุ้นในมือถึง 23% และเป็นคนสำคัญที่มีอำนาจตัดสินใจในการปรับเกมธุรกิจ

จะมีวิธีแก้ไขวิกฤตเล็กๆ อย่างไรในปีหน้าให้แก่ช่อง workpoint

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer