Hi-Kool เผยรายได้ปี 2561 คาดการณ์จะสามารถจบปีได้ที่ 650 ล้าน ตั้งเป้าปี 62 โต 17% หรือคิดเป็นรายได้ที่ 730 ล้านบาท ตั้งเป้าภายในปี 2561 จะสามารถทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท
ตั้งเป้าพันล้านในอีก 3 ปี
ปัจจุบันมูลค่าตลาดฟิล์มกรองแสงในประเทศไทยปี 2561 มีมูลค่า 2,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 12-15% จากปีที่ผ่านมา เป็นผลจากที่มีรถยนต์ใหม่ผลิตออกมาจำนวนมาก รวมถึงรถยนต์ที่ถึงเวลาเปลี่ยนฟิล์มมีจำนวนเพิ่มขึ้น
โดยในปี 2561 ตลาดรถยนต์ใหม่ได้ถูกคาดการณ์ว่าจะมีประมาณ 1 ล้านคัน เติบโต 12% และรถเก่าอายุตั้งแต่ 6-7 ปีที่ต้องการเปลี่ยนฟิล์ม หรือ After Market มีประมาณ 800,000 คัน เติบโต 15-20% ด้วยจำนวนดังกล่าวได้ส่งผลให้ตลาดที่เกี่ยวกันของตลาดรถยนต์อย่างตลาดฟิล์มกรองแสงนั้นเติบโตตามไปด้วย


โฉลก วณิชชากรพงศ์ และ ปณชัย วณิชชากรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีวณิชย์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์แบรนด์ Hi-Kool กล่าวว่า
“ไฮ-คูล มีส่วนแบ่งการตลาดในด้านปริมาณการติดตั้ง (จำนวนคัน) อยู่ที่ 35% โดยคาดว่าปีนี้จะสามารถจบรายได้ที่ 650 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 15% (ปี 2560 จบรายได้ที่ 550 ล้านบาท) แบ่งเป็นรายได้จากยอดขายในประเทศ 630 ล้านบาท และรายได้จากยอดขายต่างประเทศ เฉพาะตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 20 ล้านบาท โดยช่องทางรายได้ ไฮ-คูล 60% ยังคงมาจากดีลเลอร์ และอีก 40% มาจากโชว์รูม”
สำหรับในปี 2562 บริษัทตั้งเป้ามีรายได้ 730 ล้านบาท หรือเติบโต 17% โดยแผนการตลาดในปีหน้าบริษัทจะเน้นรักษามาร์เก็ตแชร์ในประเทศ และมุ่งสร้างแบรนด์และขยายตลาดในต่างประเทศเพื่อเพิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่ง
“เราคาดการณ์จะเติบโตในทุกๆ ปี ปีละ 15-20% โดยเป้าหมายของเราคือ จะทำรายได้ให้ทะลุ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564”

“ราคา” ปัจจัยในการตัดสินใจของคนไทย
ไฮ-คูล มีระดับราคาของฟิล์มกรองแสงตั้งแต่ 4,000 จนถึงในระดับราคาที่มากกว่า 20,000 บาท โดย 70% จากรายได้รวมของ ไฮ-คูล มาจากในระดับราคา 5,000-6,000 บาท ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนไทยยังตัดสินใจซื้อจาก ราคา+คุณภาพเป็นปัจจัยหลัก โดยคุณภาพฟิล์มต้องมืด ภายนอกมองเห็นไม่ชัดแต่ภายในต้องมองออกไปเห็นชัดเจน และต้องเป็นฟิล์มที่ไม่มันวาว ไม่ด้าน แต่ต้องใส
ในปีที่ผ่านมา ไฮ-คูล ได้ทุ่มงบการตลาดไปทั้งสิ้น 50 ล้านบาท แบ่งเป็น 48 ล้านบาทใช้ในประเทศ และอีก 2 ล้านบาทใช้ที่เวียดนาม สำหรับในประเทศ ไฮ-คูล ได้เดินหน้ากลยุทธ์ด้วย Digital Marketing โดยจัดทำแคมเปญต่างๆ ผ่านหน้าเฟสบุ๊ก เพื่อให้ลูกค้าเก่าและผู้ที่จะเป็นลูกค้าใหม่ในอนาคตได้ร่วมสนุก เพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าได้มาร่วมสนุกกับแบรนด์
นอกจากนี้ยังคงเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ Event Marketing หรือการออกงานแสดงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Motor Expo หรือเป็น Road Show ต่างๆ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ดั้งเดิมที่ได้ผลอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์แล้ว ยังสามารถให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ทดลองใช้สินค้าและได้รับ Feedback จากลูกค้ากลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์อีกด้วย

CLMV อีกหนึ่งตลาดที่มาขับเคลื่อนรายได้
จากงบประมาณการตลาดดังกล่าวเห็นได้ว่า 2 ล้านบาทได้ถูกหั่นออกไปทำตลาดที่เวียดนาม ซึ่งน้อยคนจะรู้ว่า ไฮ-คูล ได้เข้าทำตลาดเวียดนามมาแล้วประมาณ 1 ปี ซึ่งผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่าย โดยงบที่ใช้ไปก็ถูกนำไปจัดราคาโปรโมชั่น เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์นั่นเอง
“ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเราสามารถทำรายได้จากประเทศเวียดนามประมาณ 20 ล้านบาท จากรายได้รวมปี 2561 โดยในปี 2562 นี้เราตั้งเป้ารายได้เติบโตเพิ่มเติมอีก 10-15% เป็นผลมาจากการที่ตลาดรถยนต์เวียดนามนั้นมีการขยายตัว”
ด้านแผนใน CLMV ไฮ-คูล ได้เล็งเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจโตต่อเนื่องไม่น้อยว่า 6% โดยกลุ่มประเทศเหล่านี้มีความเชื่อมั่นต่อสินค้าแบรนด์ไทยเป็นอย่างมาก สำหรับประเทศแรกที่เลือกทำตลาด คือ ประเทศเวียดนาม มาจากการที่ตลาดรถยนต์มีศักยภาพในการเติบโตสูง ประชากรชาวเวียดนามมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ทำให้มีความนิยมการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ประกอบกับปี 62 ประเทศเวียดนามก็จะมีการผลิตรถยนต์แห่งชาติ ลักษณะเดียวกับโปรตอนของมาเลเซีย เป็นสัญญาณการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศเวียดนามอีกทางหนึ่ง และพบว่ายอดขาย 10 เดือนแรกของปี 61 ตลาดรถยนต์โดยรวมของเวียดนามเติบโต 5%

แต่หากเจาะลึกลงในรายละเอียดพบว่ากลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 10 เดือนแรกของเวียดนาม ปี 61 มียอดขายอยู่ที่ 147,422 คัน ซึ่งเติบโตจากปี 60 ถึง 22% และหากเทียบยอดขายปีต่อปี เพียง 10 เดือนแรก เราสามารถแซงหน้ายอดขายรวมปี 60 ตลอดทั้งปีได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นอกจากเวียดนาม ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเราคงใช้ระยะเวลาไม่เกินอีก 3 ปี และประเทศต่อไปที่เรามองไว้คือพม่าและกัมพูชา เนื่องจากตลาดรถยนต์มีศักยภาพในการเติบโตที่ดี ผู้บริโภคในประเทศเหล่านั้นยอมรับสินค้าแบรนด์ไทย โดยในอีก 3-5 ปีต่อจากนี้เราจะมีรายได้ 100-150 ล้านบาทจาก CLMV ซึ่งจะมาช่วยทำให้รายได้ของไฮ-คูล ทะลุ 1,000 ล้านบาทได้ตามเป้าหมาย”
–
