เมื่อสงกรานต์การสาดน้ำสไตล์ไทย กลายเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก ทำให้ S2O Songkran Music Festival กลายเป็นมหกรรมดนตรีสัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ โดยใช้ระยะเวลาเพียงสิบปี

จากวันแรกที่แทบต้องลุ้นว่าจะมีคนเดินทางมาร่วมงานหรือไม่  แต่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในงานที่หาบัตรได้ยาก เนื่องจากทันทีที่เปิดขายบัตรก็ sold out ในเวลาอันรวดเร็ว และสร้างรายได้สะพัดระดับพันล้านบาท

ครบทศวรรษก้าวสู่ยุคเรเนซองส์

วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา ผู้ก่อตั้งเทศกาลดนตรี S2O Songkran Music Festival กล่าวว่า ปีนี้ S2O ก้าวสู่ปีที่สิบ เป็นก้าวสำคัญของบริษัทเพราะได้ยกระดับการจัดงานในสเกลที่ใหญ่ขึ้น  ปักหมุดราชมังคลากีฬาสถาน ยกระดับงานเฟสติวัลไทยสู่เวทีโลก ขยายขนาดเทศกาลให้รองรับผู้เข้าร่วมงานได้มากขึ้นถึง 100,000 คน เฉลี่ยวันละ 35,000 คนต่อวัน ตลอดสามวันสามคืน นำรายได้เข้าประเทศกว่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งในปีแรก S2O ปี 2015 มีผู้เข้าร่วมงานรวมเพียง 35,000 คน

รายได้ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 280 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้อันมาจากสปอนเซอร์ 15% และ 80% เป็นรายได้ในไทย ขณะที่ 20% เป็นรายได้จากลิขสิทธิ์ สำหรับปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 25% คิดเป็นรายได้ 350 ล้านบาท

“ถ้าจะให้เทียบทศวรรษนี้เปรียบได้กับยุคเรเนซองส์ของเรา เป็นสิบปีที่ประสบความสำเร็จกว่าที่คาดการณ์ไว้ เราอยากเป็นเหมือนดิสนีย์แลนด์ ที่พอเดินเข้าไปจะต้องกลายเป็นโลกที่ต่างออกไป”

ปุลิน มิลินทจินดา กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้ง  S2O กล่าวว่า  ในปีที่ผ่านมา S2O เติบโตทั้งในด้านชื่อเสียงแบรนด์ รายได้ ยอดจำหน่ายบัตร จำนวนผู้เข้าร่วมงานที่ล้วนไปได้สวย รวมทั้งประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปต่างประเทศผ่านการขายลิขสิทธิ์ไปในญี่ปุ่น มีผู้เข้าร่วมงานระดับ 10,000 คน, เกาหลี 15,000 คน, ฮ่องกง 12,000 คน และจีน นิวยอร์ก โดยเป็นการจัดงานในช่วงฤดูร้อนของแต่ละประเทศ 

สัดส่วนผู้เข้าร่วมงานเทศกาลในไทย คาดว่าจะนำโดยจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย การที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาร่วมงาน ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ผ่านรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยกระจายรายได้ไปยังธุรกิจท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และบริการอื่น ๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวคนหนึ่งมีการใช้จ่ายต่อทริปเฉลี่ย 20,000 บาท

สะท้อนการยอมรับการเป็นแบรนด์เทศกาลดนตรีไทยระดับโลกที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในการจัดงานระดับนานาชาติ ความแตกต่างของ S2O คือการเป็นเทศกาลดนตรีสัญชาติไทยที่แตกต่างจากมหกรรมดนตรีอื่น ๆ ด้วยไฮไลท์หลักคือน้ำ อันเชื่อมโยงมาจากวัฒนธรรมสงกรานต์ไทยร่วมกับความบันเทิงสมัยใหม่ จึงต่างไปจากงาน Water Bomb อื่น ๆ เป็นตัวแทนของซอฟต์เพาเวอร์ไทยที่สามารถส่งออกไปทั่วโลก

“ในช่วงแรกที่ออกไปต่างประเทศ เราต้องทำให้ชาวต่างชาติเกิดความเข้าใจก่อนว่า S2O คือมหกรรมดนตรีไทยที่ผูกกับวัฒนธรรมสงกรานต์อันมีน้ำมาเกี่ยวข้อง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องแบกรับต้นทุนน้ำที่สูงมาก เพราะจะต้องลงทุนระบบไฟให้รัดกุมเพื่อความปลอดภัย ส่งผลต่อต้นทุนมหาศาล จึงต้องทำความเข้าใจว่านี่เป็นจุดเแข็งและความแตกต่างของเทศกาลเรา ซึ่งก็คือจุดบรรจบระหว่างวัฒนธรรมและความบันเทิงสมัยใหม่” วุฒิธรกล่าว

ทุ่ม 250 ล้านบาท ปักหมุดราชมังคลากีฬาสถาน 

เป็นครั้งแรกกับสถานที่จัดงานสเกลใหญ่ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐานสากล และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยอัปเลเวลประสบการณ์เทศกาล การออกแบบเวทียิ่งใหญ่  เทคโนโลยีล้ำสมัย เทคโนโลยีการฉีดน้ำแบบ 360 องศา พร้อมด้วยทีมมินเนี่ยนสาวจากเกาหลีใต้ ขนทัพศิลปินดีเจระดับโลก อาทิ Marshmello, Alan Walker, DJ Snake, Major Lazer, Timmy Trumpet และศิลปินชื่อดังอีกมากมาย เป็น Line-Up ศิลปินที่ใช้จ่ายมากที่สุดกว่าทุกปี เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และคุ้มค่า

ไฮไลท์โปรดักชั่นจากทีมงานมืออาชีพระดับแนวหน้าจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อมอบประสบการณ์เฟสติวัลตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้างาน โซนอาหารระดับพรีเมียม นำเสนอโดย Pepsi มิตรชวนกิน กับอาหารหลากหลายสไตล์ตลอดทั้งงาน พร้อมด้วยพื้นที่พักผ่อน 4 โซน ที่ออกแบบตามแนวคิดภูมิภาคของไทย แสดงพลังซอฟต์เพาเวอร์ไทย พร้อมด้วยโซน VVIP ที่มีจำนวน 3 โต๊ะ ราคา 1.9 ล้านบาท 25 คน โดยการสนับสนุนพิเศษจาก King Power

การจัดการการเดินทาง

การเดินทางที่สะดวกด้วยบริการจาก Grab พร้อมส่วนลดพิเศษ และบริการรับส่ง S2O Free Shuttle โดยทางงานได้ประสานกับหน่วยงานภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้ไหลลื่นครอบคลุมทุกพื้นที่รอบงาน จัดขึ้นในวันที่ 12-14 เมษายน

S2O ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรมากมาย อาทิ Pepsi, King Power, Chang Cold Brew Cool Club, Dewer’s Club, Crocs, Grab, Vivo, Wedrink พร้อมด้วยการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ

การแข่งขันของ EDM Festival

“อุตสาหกรรมเทศกาลดนตรี EDM มีจัดขึ้นในกรุงเทพฯ อยู่หลายแห่ง ทำให้การแข่งขันสูงขึ้นทุกปี มีผู้เล่นหลากหลายเข้ามาในอุตสาหกรรม แต่เราไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง มองว่าเป็นเรื่องดีเพราะจะช่วยให้ทุกงานที่มีอยู่แข่งกันยกระดับคุณภาพงาน ประสบการณ์การจัดงานให้ดียิ่งขึ้นช่วยให้นักท่องเที่ยวมีตัวเลือกมากขึ้น ทำให้ภาพรวมงานเทศกาลดนตรีในไทยสนุกสนานขึ้นด้วย”

เทศกาลดนตรีน้ำที่มีอิทธิพลที่สุดในเอเชีย โดยชูจุดแข็งของ S2O ในฐานะงานที่มีฐานแฟนเพลงขนาดใหญ่ สามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มนักท่องเที่ยวสายดนตรีและไลฟ์สไตล์ โดยปีนี้คาดหวังการเติบโต 25% และสร้างรายได้ประมาณ 350 ล้านบาท

วุฒิธรกล่าวในตอนท้ายว่า พอก้าวสู่ปีที่สิบเราต้องดิสรัปต์ตัวเอง ยอมทิ้งรูปแบบวิธีการการนำเสนอแบบเดิม ต้องคิดใหม่ทำใหม่ พูดภาษาใหม่ เพราะคนที่เรากำลังคุยด้วยในวันนี้ไม่เหมือนกับคนที่เราคุยด้วยเมื่อสิบปีก่อน เหมือนเป็นทศวรรษแห่งการเริ่มต้นใหม่


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer