เบื้องหน้าของอาคาร “เพิร์ล แบงก์ค็อก” หรือตึกไข่มุกสูง 25 ชั้น ที่สวยงามโดดเด่นอยู่บนถนนพหลโยธิน (ระหว่างซอย 5 และ 7) คืออาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทพฤกษา ผู้นำอันดับ 1 ในวงการอสังหาริมทรัพย์ เมืองไทย

เบื้องหลังอาคารหลังนี้คือสิ่งที่สะท้อนไปถึงความร่วมมือร่วมใจของผู้บริหารและชาวพฤกษาทั้งหมดที่มุ่งมั่นทำงานอย่างต่อเนื่องภายใต้เจตนารมณ์ที่ต้องการให้คนไทยมีบ้านที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมไว้อยู่อาศัย ตลอดระยะเวลา 25 ปี
จากโครงการบ้านพฤกษา 1 ราคาเพียงยูนิตละ 350,000 บาท เมื่อปี 2536 วันนี้ พฤกษาได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโด ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ส่งมอบบ้านคุณภาพให้กับลูกค้าในแต่ละปี 20,000 ยูนิต และมีจำนวนโครงการที่เปิดขายแล้วกว่า 1,000 โครงการ ซึ่งถือว่ามีจำนวนโครงการและยูนิตมากที่สุด เป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจอสังหาฯ เมืองไทย
จากการไปเช่าพื้นที่ในอาคารไอทีสแควร์บริเวณหลักสี่ เป็นอาคารสำนักงานใหญ่มานานกว่า 10 ปี ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเช่าพื้นที่ของอาคาร SM ทาวเวอร์ อีกเกือบ 10 ปี ล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านได้รวบรวมพนักงานที่อยู่ตามอาคารสำนักงานต่างๆ หลายแห่ง ย้ายเข้าสู่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ “เพิร์ล แบงก์ค็อก” เป็นศูนย์กลางทั้งหมดเพียงที่เดียว
เป็นการตอกย้ำถึงการมีรากฐานที่มั่นคงในการทำธุรกิจ และเป็นความภาคภูมิใจของทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และพนักงานทุกๆ คนด้วย

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา ทองมาได้จัดงานฉลอง 25 ปี เปิดอาคารหลังนี้ โดยการนำนักข่าวเยี่ยมชมบ้านหลังใหม่ของตัวเองเป็นครั้งแรกด้วยความภาคภูมิใจ และบอกว่าได้ลงมาดูในเรื่องการออกแบบ การก่อสร้าง รวมทั้งการเลือกวัสดุต่างๆ ด้วยตัวเองตั้งแต่พื้นหินอ่อน, คุณภาพของกระจกที่เป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้าง ตลอดถึงวัสดุต่างๆ ในห้องน้ำ รวมทั้งการเลือกชื่อ “เพิร์ล แบงก์ค็อก” เพื่อเป็นเกียรติให้กับกรุงเทพฯ ที่มีฉายาว่าไข่มุกอันดามัน
เพิร์ล แบงก์ค็อก อยู่ในขนาดที่ดินประมาณ 4 ไร่ พื้นที่โครงการประมาณ 55,352 ตารางเมตร มูลค่าการก่อสร้างประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. Pearl Tower
ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากไข่มุกรูปทรงเมล็ดข้าว (Rice Pearl) มีลักษณะทรงรีและแบน เป็นไข่มุกที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดในโลก เพราะมีความเงางามของผิวมากกว่าไข่มุกประเภทอื่น

อาคารหลังนี้ยังเป็นอาคารประหยัดพลังงานที่ได้รับการรับรองการประเมินอาคารเขียวตามมาตรฐาน LEED Certified Green Building ระดับ Gold อีกด้วย
2. Pearl Dome
ในส่วนของโดมด้านหน้าอาคารออกแบบให้เป็นพื้นที่เปิดโล่งด้วยโครงสร้างเหล็กปราศจากเสาภายใน ใช้สำหรับแสดงผลิตภัณฑ์ และบริการจัดงานในโอกาสพิเศษต่างๆ ได้แนวคิดมาจาก “หอยมุกมา-เบ” (Ma -Be Pearl) ที่มีลักษณะทรงกลมครึ่งซีก
ทองมาเล่าว่า การก่อสร้างตึกไข่มุกนี้มีความยากกว่าอาคารสี่เหลี่ยมธรรมดามาก เพื่อที่จะให้ตึกไข่มุกมีความโค้งได้รูปตามที่ออกแบบไว้
“ดังนั้นกระจกที่ติดอยู่กับอาคารทุกแผ่นต้องได้รับการคำนวณความกว้างยาวอย่างแม่นยำเพื่อให้ประกอบแต่ละส่วนเข้ากันได้พอดี เราจำเป็นต้องมีการตัดกระจกเฉพาะแผ่น ดังนั้นกระจกจำนวน 11,300 แผ่นที่อยู่รอบอาคารจึงมีขนาดไม่เท่ากันเลยสักแผ่นเดียว“

นอกจากบริบทแห่งความงามที่สะท้อนคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมแล้ว เพิร์ล แบงก์ค็อก ยังได้มีการลงทุนติดตั้งระบบแสงสีเสียงที่ทันสมัยโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการออกแบบและควบคุมการสลับแสงสีของไฟในยามค่ำคืน เพื่อร่วมสร้างสีสันให้กับกรุงเทพฯ ในโอกาสพิเศษต่างๆ
พื้นที่สำคัญของตึกที่ถูกเลือกปักหมุดให้ผู้สื่อข่าวได้เยี่ยมชมมี 3 จุดคือ
1. พื้นที่บริเวณชั้น 3 ประมาณ 570 ตารางเมตร ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา เช่นเดียวกับล็อบบี้ของโรงแรมชั้น 1 เป็นศูนย์บริการลูกค้าครบวงจรตั้งแต่จองจนถึงยื่นขอสินเชื่อ โดยลูกบ้านทุกโครงการสามารถเข้ามาใช้พื้นที่นี้ได้

2. ชั้น 25 เป็นชั้นบนสุดของตัวอาคารสามารถชมวิวรอบๆ ได้แบบ 360 องศา ตกตอนเย็นจะเห็นวิวพระอาทิตย์ตก โรแมนติกไปอีกแบบ ชั้นนี้ยังมีห้องรับรอง เคาน์เตอร์บาร์ เก้าอี้ที่ถูกจัดเป็นชุดๆ เพื่อให้ผู้บริหารใช้เป็นที่สังสรรค์และรับรองแขก มีความจุประมาณ 80-100 คน รวมทั้งเปิดให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาเช่าเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ได้เช่นกัน

ไฮไลต์สำคัญคือห้องทำงานของทองมา บนชั้น 24

ภายในห้องจะว่ามีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายก็ไม่เชิง เพราะแทบจะไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย มีเพียงโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง แต่หากกดปุ่มเล็กๆ ตรงฝาผนัง ก็จะพบกับห้องเล็กๆ อีก 3 ห้องซ่อนอยู่ คือห้องน้ำและห้องแต่งตัว ห้องพักผ่อนที่มีโซฟาและทีวีวางอยู่ รวมทั้งมีการซ่อนลิฟต์ส่วนตัวไว้ในห้องนี้ด้วย
มุ่งมั่นสร้างพฤกษาให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากเรื่องราวของอาคารสำนักงานแห่งใหม่ที่จะเป็นฐานบัญชาการสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งของพฤกษาในอนาคตแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้เช่นกันคือ ปีนี้มีการดึงนักการตลาดฝีมือดี สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ อดีต “ประธานกรรมการบริหาร” กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เข้ามาร่วมงานด้วย ในตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาจึงมีการปรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์พฤกษาเพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลกดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดจำนวนแบรนด์จาก 48 แบรนด์เหลือ 14 แบรนด์ เพื่อให้ง่ายในการจดจำ

พร้อมดึง “ตูน อาทิวราห์” เป็น Brand Endorser มีการปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ที่มีความหมายและมาพร้อมแบรนด์ไอเดีย “พฤกษาใส่ใจ…เพื่อทั้งชีวิต” ที่ไม่ใช่เป็นแค่เพียงชิ้นงานสื่อสารทั่วไป แต่เป็นการนำเอา Brand Purpose มาตอกย้ำให้ลงลึกถึงวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลงมือทำ เพื่อส่งมอบบ้านที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า รวมถึงทำการตลาดรูปแบบใหม่ (New Marketing Approach) โดยเน้นการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อเข้าตรงถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพได้อย่างรวดเร็ว และการขยายช่องทางการขาย Online Booking ทองมายังย้ำอีกว่า
“เราจะคงมุ่งคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อตอบโจทย์ Total Living Solution และยังคงเป็นแนวทางหลักของการเติบโตในอนาคตเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งยังขยาย Portfolio ไปสู่ธุรกิจ Health และ Well being ที่จะเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของพฤกษา โดยจะยังคงมุ่งเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการขยาย Platform ที่จะมาตอบโจทย์ Total Living Solution ที่ไม่ใช่เพียงแค่การขายบ้านเพียงอย่างเดียว แต่ยังมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยของคนไทยให้ดีขึ้นอีกด้วย


