“ซี แวลู” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายทูน่ากระป๋องแบรนด์ “ซูเปอร์ซี เชฟ” ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในตลาดอาหารกระป๋องโลก เชื่อขายอาหารกระป๋อง (Human Food) ในไทยไม่รุ่ง พฤติกรรมคนไม่ตอบโจทย์ เผยสถานการณ์ตลาดอาหารกระป๋องสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Food) มาแรง ล่าสุดบริษัทเตรียมสร้างโรงงานเพื่อผลิตอาหารกระป๋องสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ คาดปีนี้โต 10% แถมปรับสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอาหารกระป๋องจาก 25% เป็น 30% ในปี 2563
อมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี แวลู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอาหารกระป๋องในปี 2561 ที่ผ่านมาถือว่าไม่เติบโตมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ทูน่ากระป๋อง’ ซึ่งไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยไม่ค่อยมีพฤติกรรมการกินอาหารกระป๋อง อีกทั้งผู้บริโภคยุคนี้มีทางเลือกในการบริโภคมากขึ้น
โดยบริษัท ซี แวลู จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าและอาหารสำเร็จรูป ภายใต้แบรนด์ “ซูเปอร์ซี เชฟ” (Super-C-Chef) เป็นอันดับ 3 ในตลาดอาหารกระป๋องในประเทศ มีส่วนแบ่งการตลาด 15% เป็นรองจาก ‘สามแม่ครัว’ และ ‘โรซ่า’
อมรพันธุ์กล่าวอีกว่า ปี 2561 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 2,000 ล้านบาท และการส่งออก 23,000 ล้านบาท โดยเซกเมนต์การส่งออกแบ่งออกเป็น อาหารคน (Human Food) 75% และอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Food) 25%
อมรพันธุ์กล่าวอีกว่า การทำตลาดทูน่ากระป๋องในประเทศไทยซึ่งไม่ได้มีศักยภาพสูงเมื่อเทียบกับเซกเมนต์ปลาซาดีน-แมคคาเรล บริษัทจึงต้องหันไปเล่นผลิตภัณฑ์ไลน์อื่นๆ เช่น แซลมอน และไก่ปรุงรส
ด้านการส่งออกอาหารกระป๋อง (Human Food) มี 3 ประเทศที่บริษัทสามารถทำรายได้ได้มากที่สุดคือประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
ทั้งนี้อมรพันธุ์ยังตั้งเป้าเป็นผู้ส่งออกอาหารกระป๋องอันดับ 1 ของโลก และมองว่าผู้เล่นในตลาดอาหารกระป๋องจะค่อยๆ ลดลงจนเหลือเพียงเบอร์ 1 หรือเบอร์ 2 เท่านั้น เนื่องจากการแข่งขันที่หนักหน่วงจึงกีดกันผู้เล่นออกจากตลาดโดยปริยาย ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก เพราะกำแพงภาษีจากการส่งออกไปทวีปยุโรปทำให้บริษัทไม่สามารถส่งออกได้มาก
ขณะที่อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Food) ในปีนี้ บริษัทเตรียมทุ่มเงินกว่า 100 ล้านบาทในการสร้างโรงงานเพื่อการผลิตและเป็นซัปพลายเออร์ด้าน ‘อาหารสัตว์’ เท่านั้น
เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการทำรายได้จากอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ 25% อีกทั้ง อมรพันธุ์มองว่าตลาดอาหารกระป๋องสำหรับสัตว์เลี้ยงกำลังเติบโตขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง เพราะคนส่วนใหญ่หันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น อีกทั้งอัตราการเกิดน้อยลง คนนิยมอยู่เป็นโสดมากขึ้น สัตว์เลี้ยงจึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่
อมรพันธุ์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการส่งออกของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่ก็มีแผนเจาะตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียให้มากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเห็นว่าทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนสัตว์เลี้ยง (หมาและแมว) กว่า 200 ล้านตัว ขณะที่ประเทศฝั่งเอเชียอย่างญี่ปุ่นมีสัตว์เลี้ยงเพียง 20 ล้านตัว
ดังนั้น ในปี 2562 อมรพันธุ์จึงตั้งเป้าว่า บริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 27,500 ล้านบาท เติบโต 10% จากการปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งอาหารสำเร็จรูปของคนทั่วไปและอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อเสริมไลน์สินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น รวมถึงปรับสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงเพิ่มจาก 25% เป็น 30% ภายในปี 2563
อย่างไรก็ตาม อมรพันธุ์กล่าวว่า ปัจจัยลบที่กระทบกับ “ซี แวลู” ในปีนี้คือเรื่อง ‘ค่าเงินแข็ง’ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกโดยตรง
–
