สังคมไทยกำลังเข้าสู่โลกของคนสูงอายุ ที่คนวัย 60 ปีขึ้นไปกำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากในปี 2015 มีจำนวน 9.4 ล้านคน มาในปี 2018 อยู่ที่ 10.22 ล้านคน
และคนอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 10.22 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 15% จากจำนวนประชากรในประเทศทั้งหมด 66 ล้านคน

ที่น่าสนใจคือสัดส่วนคนสูงอายุ ยังจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกในอนาคต
จนมีการคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าคนสูงอายุจะคิดเป็น 20-25% ของจำนวนประชากรในประเทศไทยเลยทีเดียว
หรือให้เห็นภาพชัดเจนก็คือประชากรไทย 4 คนจะมีคนสูงอายุ 1 คน
และที่สำคัญกว่านั้นคนวัยเกษียณยังถูกมองว่าจะเป็นกลุ่มคนที่สร้างภาระให้แก่ลูกหลานวัยทำงาน
แต่จริงๆ แล้วคนวัยเกษียณส่วนใหญ่ไม่ได้อยากจะเป็นภาระให้รุ่นหลัง
เพราะจากผลสำรวจของ สศช. (สำนักงานสภาพัฒนาการสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ) ระบุว่า 70% ของคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป…อยากที่จะทำงานต่อ
แต่ในภาพความเป็นจริงนั้น “สวนทางกัน” เพราะปัจจุบันสัดส่วนคนทำงานวัยเกษียณที่ยังเป็นลูกจ้างอยู่ที่ 35-40% จากจำนวนคนเกษียณอายุทั้งหมดในประเทศ
โดย สศช. บอกถึงที่มาที่ไปในเรื่องนี้ ในเรื่องปัญหาการจ้างงานของวัยเกษียณไว้อย่างน่าสนใจ
ปัญหาแรกสุดก็คืออัตราเงินเดือนค่าจ้างที่คนวัยเกษียณเชื่อว่าตัวเองมีประสบการณ์ในการทำงานสูง ต้องรับตำแหน่งงานระดับสูง และยังสามารถเป็นที่ปรึกษาให้เด็กรุ่นใหม่ๆ
เพราะฉะนั้นก็ควรจะได้รับเงินเดือนในเรตที่สูงตาม เพียงแต่ฝั่งนายจ้างกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งนายจ้างและพนักงานวัยเกษียณจำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลางในการเจรจาให้ลงตัวทั้ง 2 ฝ่าย
ขณะเดียวกันวัยเกษียณอายุ ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ตามทันโลกธุรกิจยุคใหม่ ที่เกือบทุกสายวิชาชีพกำลังเปลี่ยนเข้าสู่โลกของดิจิทัล
พูดง่ายๆ ก็คือวัยเกษียณจะต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อเข้ากับยุคที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทในการทำงาน
เพราะเวลานี้ประตูการทำงานต่อของวัยเกษียณเปิดกว้างมากขึ้นกว่าในอดีต เมื่อรัฐบาลออกกฎหมายสนับสนุน
สำหรับบริษัทที่จ้างพนักงานอายุ 60 ปีทำงาน สามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 100% ของเงินที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างวัย 60 ปีขึ้นไป
เพราะรัฐบาลมองว่าวิธีนี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้และแบ่งเบาภาระของรัฐบาล
แต่ในอีกมุมหนึ่งภาคเอกชนบริษัทต่างๆ ก็อาจจะมีต้นทุนในการทำธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นไปด้วย
โจทย์ของพนักงานวัยเกษียณ 60 ปีอัพ คือทำอย่างไรในการสร้างมูลค่าตัวเองให้สูงในสายตาองค์กรและบริษัทต่างๆ
เพื่อให้บริษัทเหล่านี้มองว่าเป็นต้นทุนในการทำธุรกิจ “คุ้มค่ากับเงินที่จ้าง”
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ-สำนักงานสภาพัฒนาการสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ
–
