JD.Com ใหญ่แค่ไหน ? พาชมบ้านเกิด JD.Com อเมซอนแห่งจีนที่ปักกิ่งสุดไฮเทค
ก่อนฉลองครบรอบวันเกิด JD.Com ในวันที่ 18 มิถุนายน ไม่กี่วัน Marketeer ได้รับคำเชิญจาก JD CENTRAL เป็นหนึ่งใน 3 สื่อไทยที่เข้าเยี่ยมชมตัวตนของ JD.Com ที่สำนักงานใหญ่ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
โดย JD.Com ในประเทศจีนได้รับการขนานนามว่า อเมซอนแห่งจีน ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่โดดเด่นในเรื่องการเติบโตด้านธุรกิจ และเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ที่เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจและชีวิตของผู้คนในวันข้างหน้าได้อย่างน่าสนใจ
ก่อนที่จะเข้าไปสัมผัสกับเทคโนโลยีของ JD.Com เราขอเล่าเท้าความให้ฟังสักหน่อยว่า JD.Com เป็นมาอย่างไร
JD.Com มี ริชาร์ด หลิว เป็นผู้ก่อตั้ง โดยแรกเริ่มเดิมที JD.Com เป็นเพียงร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในกรุงปักกิ่ง ที่มีชื่อว่า JingDong Century ก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1998
หลังจากที่ริชาร์ด หลิว ทำธุรกิจร้านอิเล็กทรอนิกส์เพียงไม่กี่ปี ในปี 2003 ประเทศจีนได้ประสบกับปัญหาครั้งใหญ่จากการแพร่ระบาดของโรค SARS ที่คร่าชีวิตคนจีนเป็นจำนวนมาก
การแพร่ระบาดของ SARS นี้เองทำให้คนจีนไม่กล้าที่จะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านตามปกติ เพราะกลัวความเสี่ยงที่จะได้เชื้อกลับมา
ในวิกฤต SARS ครั้งนั้น ริชาร์ดได้มองเห็นโอกาสในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศจีน และได้เปิด JD.Com ขึ้นมาในปี 2004 เพื่อเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้ชาวจีนได้สั่งซื้อสินค้าออนไลน์พร้อมบริการส่งถึงบ้าน
ในเวลาที่ JD.Com ได้ถือกำเนิดขึ้นในวันนั้นประเทศจีนมี Taobao.Com เว็บไซต์ค้าปลีกออนไลน์ของอาลีบาบาเปิดตัวในตลาดอีคอมเมิร์ซมาก่อนหน้า 1 ปี โดย Taobao.Com เปิดตัวในปี 2003
เมื่อในตลาดค้าปลีกออนไลน์มีคู่แข่งที่มาก่อนหน้านั้น ริชาร์ดจึงสร้างความแตกต่างให้กับ JD.Com พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคผ่านจุดเด่น 2 ประการได้แก่
1. การันตีของแท้
JD.Com ได้วางตัวเองตั้งแต่เริ่มธุรกิจว่า เป็นอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มที่จำหน่ายสินค้าของแท้เท่านั้น จากการมองเห็นปัญหาหลักของอีคอมเมิร์ซประเทศจีนประการที่สำคัญคือ ความเชื่อมั่นในตัวสินค้าที่จำหน่าย
เพราะในประเทศจีนเป็นฐานการผลิตสินค้าปลอมขนาดใหญ่ และมีสินค้าปลอมสะพัดอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมากที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่เชื่อมั่นที่จะสั่งสินค้าผ่านช่องทางนี้เพราะไม่ได้เห็นสินค้าและจับต้องด้วยตัวเอง
ซึ่งการันตีสินค้าที่จำหน่ายของแท้ ทำให้ JD.Com สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน และความแตกต่างนี้ได้กลายเป็นความเชื่อใจในแพลตฟอร์มในที่สุด
2. ระบบโลจิสติกส์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของ JD.Comคือการมีระบบขนส่งเป็นของตัวเอง เพื่อควบคุมประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ดีในแพลตฟอร์ม JD.Comตั้งแต่หน้าร้านค้าไปถึงมือผู้บริโภค
การที่ JD.Comมีระบบโลจิสติกส์เป็นของตัวเองถือว่าเป็นการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งสำคัญอย่างอาลีบาบา ที่ใช้กลยุทธ์การเชื่อมต่อแพลตฟอร์มไปยังโลจิสติกส์ที่เป็น Third Party เป็นผู้รับเหมาการขนส่งแทนการลงทุนระบบเองทั้งหมดที่ต้องใช้เงินทุนและเทคโนโลยีในการวางระบบอย่างมหาศาล
ซึ่งการพัฒนาโลจิสติกส์ของ JD.Comมีทั้งการพัฒนาแวร์เฮาส์ที่นำระบบไอทีมาพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ระบบขนส่งและพนักงาน ซึ่งการพัฒนานี้มาจากการศึกษาและรับฟังเพื่อมาปรับการบริการที่เหมาะสมที่สุด และทำให้เกิดบริการโลจิสติกส์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่ผู้ให้บริการรายอื่นไม่มี เช่น การส่งสินค้าผ่านโดรน เป็นต้น
เมื่อพูดถึงระบบขนส่งของ JD.Comแล้ว เรามาเล่าให้อ่านกันหน่อยดีกว่าว่า มาเยี่ยมบ้าน JD.Comในครั้งนี้ JD มีเทคโนโลยีอะไรที่เราว่าสุดยอดกันบ้าง
ไคว้ตี้ไร้คน แค่คนส่งของยังน้อยไป
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น JD.Comให้ความสำคัญกับระบบโลจิสติกส์ ทำให้ใน JD.Comมีการพัฒนา “Smart Logistic” อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการการขนส่งสินค้าที่มากกว่าการขนส่งสินค้าแบบทั่วๆ ไป


โดยในประเทศจีนการสั่งซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซจะมีระบบส่งสินค้า ที่เรียกกันว่า ไคว้ตี้ จะเน้นการส่ง SMS ไปยังผู้ซื้อ เพื่อนัดหมายให้ส่งสินค้าถึงบ้าน หรือนัดรับตามสถานที่ต่างๆ ที่เป็นสถานที่นัดรับสินค้าเป็นประจำ
JD.Comยังมีการพัฒนาระบบไคว้ตี้แบบไร้พนักงาน เพื่อให้บริการนัดรับสินค้ากับลูกค้าในแหล่งชุมชน ที่เป็นใจกลางเมืองอีกด้วย
ไคว้ตี้ที่เราว่านี้มีชื่อว่า JingDong X Division เป็น Autonomous Delivery Robots รถขนส่งพัสดุที่พัฒนาโดยJD.Com โดย JingDong X Division จะเป็นรถที่สามารถเคลื่อนที่ไปตามจุดนัดพบได้ด้วยตัวเอง ผ่านการตั้งโปรแกรมให้สามารถเดินเลี่ยงสิ่งกีดขวางตามเส้นทางที่กำหนด และรู้จักสัญญาณไฟสัญญาณจราจรเป็นอย่างดี


และเมื่อถึงจุดนัดพบ JingDong X Division จะรอให้ผู้สั่งสินค้าเดินมารับสินค้าด้วยการสแกน SMS ที่เป็นรหัสคำสั่งซื้อ และใบหน้าของผู้สั่ง เพื่อยืนยันตัวตน ก่อนจะเปิดรถให้เจ้าของสินค้าหยิบสินค้าที่ตัวเองสั่งออกไปได้เลย
นอกจาก JD.Comจะมีบริการไคว้ตี้ไร้คนแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือการส่งสินค้าผ่านโดรน ในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก
โดย JD.Comนำระบบโดรนมาใช้ในการขนส่งสินค้าจากการมองเห็นอุปสรรคในการนำสินค้าไปส่งถึงมือผู้บริโภคในพื้นที่ที่เดินทางลำบาก หรือห่างไกล
อย่างเช่นเมืองซีอาน มลฑลส่านซี ซึ่งเป็นพื้นที่ในหุบเขายากลำบากกับการเดินทาง เจ้าหน้าที่ของ JD.Comได้เล่าว่า ก่อนหน้าที่ JD จะนำโดรนให้บริการ การขนส่งสินค้าไปยังเมืองซีอานใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง เพราะเส้นทางเป็นหุบเขาที่จะต้องค่อยๆ ขับตามทางเลี้ยวโค้งของไหล่เขาไป
แต่เมื่อมีการนำโดรนมาให้บริการ สามารถลดการขนส่งเหลือเพียง 20 นาทีเท่านั้น
และในปัจจุบันการบริการขนส่งสินค้าผ่านโดรนของ JD.Comสามารถให้บริการครอบคลุม 100 กว่าหมู่บ้านเลยทีเดียว
ทั้งนี้การที่ JD.Comได้วางโครงสร้างการขนส่งในรูปแบบ Smart Logistic เชื่อว่าเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้ JD.Comมีความแข็งแกร่งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่สามารถนำ Know-how ที่มีมาปรับใช้ในธุรกิจที่ JD.Comเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
อย่างเช่นในอินโดนีเซียประเทศที่ JD.Comเข้าไปเปิดธุรกิจนอกเมืองจีน ในนาม JD.ID ได้มีการนำโดรนมาใช้ในการขนส่งสินค้าเช่นกัน
ส่วนในประเทศไทยอาจจะต้องร้องเพลงไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน เพราะการขนส่งผ่านโดรนยังติดข้อจำกัดด้านกฎหมายการลงทะเบียนโดรน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ยังทำให้ JD CENTRAL ยังไม่สามารถนำโดรนมาให้บริการได้
Digital Retail ต่อยอดสู่ O2O
นอกจากอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มแล้ว ภายในอาณาจักรของ JD.Comยังมีร้านค้าที่เป็นออฟไลน์หลากหลายแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ JD พัฒนาในรูปแบบต่างๆ ทั้งคอนวีเนียนสโตร์ไร้พนักงาน, ร้านอาหารที่ใช้หุ่นยนต์ในการบริการ หรือแม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่นำระบบดิจิทัล และ QR Code มาใช้เพื่อสร้าง Story Telling ให้กับสินค้าที่จำหน่าย


เซียวเหยา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และการลงทุน JD.Com เล่าให้เราฟังว่า JD.Comให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Customer Go First ผ่านบริการในรูปแบบ O2O Project (Online to Offline Project) เชื่อมต่อประสบการณ์ผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้ทุกที่ตามต้องการ
และที่ผ่านมาเทรนด์ของ O2O เป็นสิ่งที่เข้ามาตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกที่ไม่ได้มองว่าจะต้องซื้อสินค้าจากออนไลน์หรือออฟไลน์ แต่จะซื้อสินค้าจากช่องทางที่สะดวกที่สุดในเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
ในการมาเยือนปักกิ่ง JD.Comได้พาเรามาเยี่ยมชมร้านค้าออฟไลน์ของ JD ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ 3 แพลตฟอร์มด้วยกัน …เริ่มจาก
X Mart ร้านสะดวกซื้อไร้พนักงานของ JD.Com
ในฝั่งอเมริกา Amazon Go คือต้นแบบของร้านค้าไร้พนักงาน ที่เข้ามาเปลี่ยนการช้อปของลูกค้าให้ช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ซื้อสินค้าไปจนถึงชำระเงินด้วยตัวเอง
ในฐานะ Amazon แห่งเมืองจีน อย่าง JD.Comก็มีร้านค้าไร้พนักงานเช่นกัน โดยร้านค้าที่ว่านี้ชื่อว่า X-Mart
X-Mart ของ JD.Comเป็นร้านค้าไร้พนักงานที่ใช้เทคโนโลยี RFID (Radio frequency identification) และกล้อง มาใช้ในการจดจำใบหน้าและตรวจจับการหยิบสินค้าจากเชลฟ์ของลูกค้าในแต่ละคน
โดยลูกค้าของ X-Mart จำเป็นต้องลงทะเบียนผ่าน App WeChat ก่อน และเมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้ามาใช้บริการเพียงเปิดแอป We Chat สแกน QR Code เพื่อยืนยันตัวตนก่อนเข้าไป
จากนั้นก็เลือกซื้อสินค้าได้ตามปกติ โดยระบบจะทำการส่งสัญญาณ RFID จากตัวสินค้าและภาพจากกล้องไปยังระบบชำระเงินอย่างอัตโนมัติ
และเมื่อเดินออกจากร้าน X-Mart พร้อมสินค้า ยอดเงินจะถูกตัดผ่าน WeChat ทันที แบบไม่ต้องรอสแกนเพื่อจ่ายสินค้าเหมือนกับซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ซึ่งถือว่าสะดวกรวดเร็วเป็นอย่างมาก


การที่ X-Mart ได้เลือกวิธีการจับมือกับ WeChat ในการชำระเงิน จากการมองเห็นพลังและฐานลูกค้าของ WeChat ที่มีผู้ใช้บริการมากถึง 1,000 ล้าน Active User ในประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็นฐานผู้ใช้งานที่ใหญ่ ที่จะช่วยให้ JD.Com สามารถขยายฐานผู้ใช้งาน X-Mart อย่างรวดเร็วได้ไม่ยาก
ในปัจจุบัน X-Mart มีให้บริการในประเทศจีนและอินโดนีเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนในประเทศไทย Marketeer เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ JD CENTRAL จะนำเทคโนโลยีมาให้บริการในอนาคต เมื่อวันที่ประเทศไทยมีความพร้อมทางด้านพฤติกรรมผู้ใช้ และกฎหมายในการให้บริการร้านค้าที่ไร้พนักงานในรูปแบบนี้
7 Fresh ซูเปอร์มาร์เก็ตดิจิทัล
เมื่อพูดถึงร้านสะดวกซื้อไร้พนักงานแล้ว ในมุมของซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเป็นสเกลที่ใหญ่กว่า JD.Comก็ได้นำดิจิทัลมาให้บริการเช่นกัน
ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ว่านี้ชื่อว่า 7Fresh
ถ้ามองด้วยตาเปล่า อาจรู้สึกว่า 7Fresh ไม่ต่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในประเทศจีน แต่ความจริงแล้วในความเหมือน 7Fresh มีความแตกต่างด้านเทคโนโลยี
เจ้าหน้าที่ JD.Comเล่าให้ฟังว่า 7Fresh เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเล่าเรื่องราวของสินค้า โดยเฉพาะสินค้าสด




โดยใน 7Fresh จะติดตั้ง QR Code และบาร์โค้ดเอาไว้ ให้ลูกค้าได้สแกนเพื่ออ่านข้อมูลของสินค้านั้นๆ ว่า เป็นสินค้าที่มาจากไหน และส่งเข้ามาที่ 7Fresh เมื่อไร เพื่อยืนยันถึงที่มาของสินค้าและความสดใหม่ของสินค้าที่จะซื้อกลับไป


นอกจากนี้ใน 7Fresh ยังมีบริการส่งสินค้าถึงมือลูกค้าที่สั่งผ่านออนไลน์ฟรีในระยะทาง 3 กิโลเมตร
โดยลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อสินค้าผ่านแอป 7Fresh เพื่อให้พนักงานใน 7Fresh หยิบสินค้าตามออเดอร์ และส่งไปถึงบ้านที่มีระยะทางไม่เกิน 3 กิโลเมตร ได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่ไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น
เมื่อมีผู้สั่งออนไลน์พนักงาน จะหยิบสินค้าและส่งสินค้าที่ลูกค้าต้องการไปยังสายพานเพื่อให้พนักงานฝ่ายเดลิเวอรี่ทำการส่งถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
การให้บริการส่งสินค้าที่สั่งผ่านระบบออนไลน์ถึงบ้านอย่างรวดเร็วมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนที่ติดกับความรวดเร็วในการสั่งสินค้าออนไลน์ และมีความคาดหวังว่าเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์จะต้องได้รับส่งสินค้าถึงมืออย่างรวดเร็วที่สุด เพราะถ้าส่งถึงมือช้ากว่าที่คิด พวกเขาก็จะมีโอกาสในการเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่นที่ส่งเร็วกว่าทันทีเช่นกัน
X-Café ร้านอาหารที่พ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟ เป็นหุ่นยนต์
นอกจากร้านค้าแล้ว JD.Comยังมีร้านอาหารที่นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาให้บริการอีกด้วย
โดยร้านนี้มีชื่อว่า X-Café ตั้งอยู่เมืองเทียนจิน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจากปักกิ่ง
จุดเด่นของร้าน X-Café ที่ทำให้เราดั้นด้นเดินทางมา คือร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารต้นแบบแห่งเดียวของ JD.Comที่ใช้หุ่นยนต์ในการประกอบอาหาร และใช้พนักงานเสิร์ฟเป็นหุ่นยนต์
พนักงานเสิร์ฟหุ่นยนต์ ที่ให้บริการลูกค้าใน X-Cafe เห็นแล้วอยากให้เดินเสิร์ฟทั้งวัน
โดยลูกค้าร้าน X Cafe ที่เข้ามาใช้บริการจะสั่งอาหารด้วยการสแกน QR Code เพื่อสั่งอาหารตามที่ต้องการจาก 40 เมนู ซึ่งเป็นเมนูที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล
เมื่ออาหารเสร็จพนักงานที่เป็นคนจะนำอาหารใส่ถาดให้พนักงานเสิร์ฟหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารตามโต๊ะของลูกค้า และจ่ายค่าอาหารผ่าน QR Code หลังรับประทานเสร็จได้ทันที
การที่ X-Café ใช้หุ่นยนต์ในการประกอบอาหาร ช่วยให้อาหารที่ทำออกมามีมาตรฐานเหมือนกันทุกจาน และยังช่วยลดพนักงานที่ใช้งานครัวได้ถึงครึ่งหนึ่ง โดยปกติแล้วร้านอาหารในสเกลเดียวกับ X-Café จะใช้กำลังคนครัวมากถึง 15 คน แต่ใน X-Café ใช้คนครัวเพื่อเตรียมอาหารและวัตถุดิบให้พ่อครัวหุ่นยนต์ปรุงเพียง 6-7 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ ในส่วนพนักงานเสิร์ฟหุ่นยนต์ก็เช่นกัน เจ้าหน้าที่ JD.Comได้เล่าให้ฟังว่า X-Café ใช้หุ่นยนต์ที่ติดตั้งกล้องและเซนเซอร์ ทำให้เคลื่อนไหวส่งอาหารได้ตามโต๊ะได้อย่างไม่มีปัญหา และหุ่นยนต์เพียง 2 ตัวก็สามารถเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าในช่วงไพร์มไทม์ได้อย่างสบายเลยทีเดียว แถมยังไม่หน้างอใส่ลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ แม้ในประเทศจีนจะมีร้านอื่นใช้หุ่นยนต์ในร้านอาหารเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะใช้หุ่นยนต์ในการทำอาหารเพียงอย่างเดียว
โดยที่ผ่านมา X Cafe มีรายได้เฉลี่ยในวันธรรมดา 1-1.2 หมื่นหยวนต่อวัน และวันเสาร์-อาทิตย์ 3-4 หมื่นหยวนต่อวัน ถือว่าสูงเลยทีเดียวกับร้านอาหารขนาด 500 ตร.ม. ของ X-Café
เห็นเทคโนโลยีที่มาช่วยสร้างความแตกต่างให้กับ JD.Comอย่างนี้ ไม่แปลกเลยที่ในไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้มากถึง 18,041.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 562 แสนล้านบาทไทย เติบโต 20.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา
และได้กลายเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า ทำไม JD.Comถึงได้ขึ้นชื่อว่า Amazon แห่งเมืองจีน แม้ธุรกิจของ JD.Com จะเป็นที่ 2 รองจาก Alibaba ก็ตาม
Marketeer FYI 1
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ Strategic Asia ของ JD.Com
เซียวเหยา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และการลงทุน JD.Comได้กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็น Strategic Asia ของ JD.Comจากการมองเห็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นประเทศที่มีประชากรรุ่นใหม่จำนวนมาก และเป็นกลุ่มคนที่พร้อมจะเรียนรู้ในเทคโนโลยีต่างๆ และตอบรับการใช้งานบริการดิจิทัลใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี
เธอได้กล่าวกับเราว่าการบุกตลาดนอกประเทศจีนของ JD.Comจะใช้กลยุทธ์ในการบุกตลาดด้วยการจับมือกับโลคอลพาร์ตเนอร์
JD.Comจะเป็นผู้ซัปพอร์ตด้านเทคโนโลยี โนว์ฮาวต่างๆ และนำความสำเร็จที่เกิดขึ้นในประเทศจีนมาปรับแต่งบริการให้เข้ากับอินไซด์ของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพื่อนำเสนอบริการให้เข้ากับผู้บริโภคในแต่ละประเทศ
สองประเทศที่ JD.Comมีศักยภาพสูงคือประเทศไทยและอินโดนีเซีย
เธอมองว่าผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแต่ละประเทศ แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน แต่จะมีความเหมือนกันอยู่ คือ ผู้บริโภคชอบความสะดวกสบายในการจับจ่าย และมองว่าสินค้าที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปในรูปแบบ Value for Money มากกว่าการมองหาสินค้าที่มีราคาถูกสุด
Marketeer FYI 2
ทำไมต้องหมา JOY
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไม JD.Comถึงใช้รูปหมา ที่มีชื่อว่า JOY เป็นโลโก้แบรนด์
มา JD สำนักงานใหญ่ทั้งที เราจึงไม่รอช้าที่จะสอบถามถึงความสงสัยนี้ และได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ JD.Comว่า
การที่ JD.Com ใช้หมา เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์มาจากการมองเห็นหมาเป็นสัตว์ที่มีความเป็นมิตร และซื่อสัตย์ ซึ่งถือถึงความเป็น Brand ของ JD.Comที่เป็นมิตรกับลูกค้า และซื่อสัตย์กับลูกค้าด้วยการจำหน่ายสินค้าที่เป็นของแท้ทั้งหมด
cr. ภาพบางส่วนจากJD.Com
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



