ตลาดอาหารทะเลแปรรูป 2562 มูลค่าเท่าไร และไทยอยู่อันดับที่เท่าไรของโลก? พร้อมบทวิเคราะห์สถานการณ์ส่งออก
ปีนี้อุตสาหกรรม ‘อาหารทะเลแปรรูป’ ไทย ไม่ฉลุย
แม้จะมี ‘ภูมิศาสตร์’ ทางทะเลที่ทำให้ไทยได้เปรียบในการจับสัตว์น้ำ จนส่งผลให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลแปรรูปรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ด้วยส่วนแบ่งตลาด 4%
กว่า 20% ของมูลค่าการส่งออกอาหารในไทยทั้งหมดมาจาก ตลาดอาหารทะเลแปรรูป และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 5% ต่อปี
ขณะที่วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ในปี 2562-2564 อัตราการเติบโตจะลดต่ำลงเหลือ 1-2% ในเชิงปริมาณ และ 0.5-1% ในเชิงมูลค่า
เทียบปี 2561 อุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 6.6 พันล้านเหรียญ แบ่งเป็นตลาดส่งออกถึง 89%
สัดส่วนสินค้าส่งออกแต่ละประเภท ได้แก่ ทูน่ากระป๋อง 38.6% กุ้งแช่แข็ง 13.1% กุ้งปรุงสุก 9.5% ปลาหมึกแช่แข็ง 5.6% ปลาปรุงสุก 5.5% และอื่นๆ

ปกติแล้วตลาดส่งออกจะมีปัจจัยสำคัญคือ ‘ค่าเงิน’ และ ‘น้ำมัน’ ซึ่งมีผลต่อต้นทุนการส่งออกวัตถุดิบ
แต่สำหรับอาหารทะเลจะมีปัจจัยเรื่อง ‘ปริมาณสัตว์น้ำ’ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศที่แปรปรวน
แน่นอนว่า สถานการณ์ของสัตว์ในท้องทะเลอยู่ในช่วงขาลง จนทำให้หลายประเทศออกมาตรการควบคุมการจับสัตว์น้ำ เช่น การกำหนดโควตาหรือกำหนดช่วงเวลาในการจับสัตว์ตัวจ้อยๆ
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนแรงงานและการจัดระเบียบมาตรฐานประมงในไทย ทั้งหมดกระทบต่อปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ในภาคใต้ของไทย
ยิ่งศึกสงครามการค้ายืดเยื้อ ตลาดส่งออกอาหารทะเลแปรรูปไทยก็พลอยได้รับผลกระทบจากผู้นำเข้าอย่างจีนและสหรัฐฯ
ที่สำคัญคือ ไทยเริ่มโดนหลายๆ ประเทศเล่นเกม Price War ทั้งจากจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ทั้ง 3 ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันสูง เพราะมีแต้มต่อในเรื่อง ‘ต้นทุนการผลิต’ ที่ต่ำกว่าไทย โดยเฉพาะค่าแรง
ยังไม่นับตลาดเกิดใหม่แถบตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา ที่กำลังรุกคืบเข้ามาชิงเค้กก้อนนี้
โดยเฉพาะ ‘ค่าแรง’ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในยุคนี้ ประเทศไหนที่ค่าแรงถูกกว่า นั่นหมายถึงต้นทุนการผลิตที่ในระยะยาวย่อมคุ้มค่ากว่า
ไทย ซึ่งแต่เดิมเติบโตมาต่อเนื่อง แต่มาวันนี้เริ่มโดนประเทศที่กำลังพัฒนาไล่หลังมาติดๆ ด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า ดังนั้นผลผลิตย่อมมากกว่า
ความท้าทายในประเทศก็สาหัส เพราะผู้ประกอบการไทยไม่สามารถปรับขึ้นราคาขาย ขณะที่ราคาวัตถุดิบและต้นทุนกลับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

วิจัยกรุงศรีคาดว่าตลาดในประเทศจะขยายตัวเฉลี่ย 1-2% ในเชิงปริมาณ และ 0-1% ในเชิงมูลค่า เนื่องจากเทรนด์ผู้บริโภคเริ่มออกสายเฮลตี้ (Healthy) รวมถึงพฤติกรรมที่ต้องการแบบ Ready to Eat และฟาสต์ฟู้ด
ด้านปลากระป๋องก็ disrupt หนักจากอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูป จนการเติบตัวหดตัวเหลือเพียง 2-3% ทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า
ทิศทางของอาหารทะเลจึงต้องปรับตัวเป็น Ready to Eat มากขึ้น และพยายามขยายช่องทาง (Channel) เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้
สงครามการค้าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อเอาตัวรอดภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
รวมถึงผู้ประกอบการทั่วโลกที่เล่นเกมเอาตัวรอดจากสองยักษ์ใหญ่นี้ด้วยเช่นกัน
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่
Website: Marketeeronline.co / Facebook: www.facebook.com/marketeeronline
