หลังจากที่ประกาศจุดยืนในฐานะ “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) นำไทยยิ่งใหญ่บนเวทีโลกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ “ไอคอนสยาม” เปิดวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจกว่า 6 ทศวรรษ ที่มุ่งมั่นให้เป็นธุรกิจที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับคนจำนวนมาก และเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ที่ขับเคลื่อนด้วยการใช้กลยุทธ์ต้นแบบ “การสร้างคุณค่า สมประโยชน์ร่วมกันสู่ความยั่งยืน” ซึ่งได้บรรจุเข้าไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจทุกประเภทของสยามพิวรรธน์ตลอดมา โดยให้ความสำคัญใน 3 มิติ คือ ผู้คน ชุมชนสังคม และสิ่งแวดล้อม และในปลายปีนี้สยามพิวรรธน์ พร้อมเดินหน้าโครงการ Citizen of Love by Siam Piwat ในฐานะองค์กรที่เกิดในประเทศไทยอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีบนแผ่นดินอันเปี่ยมด้วยความรักและการทำความดีด้วยหัวใจเพื่อผู้อื่น จึงตั้งปณิธานที่จะสืบสานและแบ่งปันความรัก มอบโอกาสในการสร้างความภาคภูมิใจและความเท่าเทียมให้กับคนทั้งมวลอย่างทั่วถึง
นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่า “กว่า 60 ปี จากวิสัยทัศน์ที่บริษัทยึดมั่นตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงวันนี้ สยามพิวรรธน์ได้ทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อที่จะสร้างรูปแบบธุรกิจต่างๆ ของการค้าปลีกในการสนับสนุนคนไทยที่มีความสามารถทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยจากต่างจังหวัด ดีไซเนอร์ นักออกแบบไทยที่มีความสามารถ เยาวชน ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ เด็กพิเศษ และผู้ด้อยโอกาส เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสใช้ธุรกิจและสถานที่ของสยามพิวรรธน์เป็นเวทีของการนำเสนอสินค้าและบริการในหลากหลายประเภทด้วยความภาคภูมิใจ อีกทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ในการทำธุรกิจอย่างครบวงจร นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังทำงานร่วมกับชุมชนและภาคประชาสังคมที่จะสร้างความภาคภูมิใจในการสืบสานภูมิปัญญาไทยในแขนงต่างๆ และการอนุรักษ์ไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม รวมถึงการพัฒนาชุมชน สร้างศักยภาพในการทำมาค้าขายและยกระดับคุณภาพชีวิตของแต่ละชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม นับเป็นต้นแบบของการทำธุรกิจที่มีพันธกิจในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนได้เติบโตร่วมกัน ซึ่งในกระบวนการต่างๆ นี้ สยามพิวรรธน์ได้เชิญชวนพันธมิตรทางธุรกิจ ลูกค้า ผู้ประกอบการ และพนักงานของกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ทั้งหมดให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าเพื่อให้เราเป็นองค์กรที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม และนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติสืบต่อไป”
การสร้างความยั่งยืนใน 3 มิติของกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ คือ 1) มิติผู้คน ; 2) มิติชุมชนสังคม และ 3) มิติสิ่งแวดล้อม
- มิติผู้คน: ให้โอกาส ความเท่าเทียมกับคนทุกกลุ่ม สนับสนุนให้ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
นางชฎาทิพ จูตระกูล กล่าวว่า สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญกับการให้โอกาส ความเท่าเทียมและการสนับสนุนให้ประสบความสำเร็จ กับบุคคล 3 กลุ่ม คือ 1) บุคคลทั่วไป ; 2) คนที่มีความสามารถในหลากหลายประเภท ; 3) ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ เด็กพิเศษ และผู้ด้อยโอกาส โดยใช้ศักยภาพพื้นที่ในทุกโครงการสร้างให้เกิดประโยชน์กับพวกเขาเหล่านั้น เริ่มตั้งแต่
- สยามเซ็นเตอร์ ที่ตลอดระยะเวลากว่า 45 ปี เราได้ให้การสนับสนุนไทยดีไซเนอร์และธุรกิจออกแบบแฟชั่นของไทย ตั้งแต่ริเริ่มการจัดประกวด young designer จนให้เขาเหล่านั้นเติบโตเป็นเจ้าของร้าน และได้แจ้งเกิดในฐานะนักออกแบบแฟชั่นชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่ดังไปไกลทั่วโลก
- สุขสยาม ชั้น G ไอคอนสยาม คือ การสร้างระบบนิเวศทางการค้า (Commercial Ecosystem) ที่เราช่วยส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และทำให้เป็นเวทีที่สร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยระดับท้องถิ่นจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เพื่อคัดสรรนำของดี อาหาร ศิลปะ หัตถกรรม เวชศาสตร์ การแสดงพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ ตลอดจนช่วยเหลือ ส่งเสริมความรู้และการทำการตลาด modern trade ให้กับผู้ประกอบการเพื่อให้พร้อมเข้าสู่กลไกตลาดและการค้าสมัยใหม่ ช่วยให้สินค้าเหล่านั้นสามารถเจาะตลาดนานาชาติได้ และสามารถต่อยอดไปสู่การทำ E-commerce ได้ในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับธนาคารให้มาช่วยสอนการบริหารการเงินและการออมเงินอีกด้วย ความภาคภูมิใจของเรา คือ การให้โอกาส Local Heroes ศิลปิน ช่างฝีมือ ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้ทำการค้าขายในกรุงเทพฯ ให้ได้เข้ามาทำการค้าขายบนเวทีที่มีศักยภาพ ส่งผลทำให้ผู้มาค้าขายในสุขสยามมีรายได้ดีมากและมีเงินทุนที่จะทำธุรกิจพัฒนาสินค้าต่อไป ลูกหลานเห็นช่องทางและยินดีที่จะมาต่อยอดเพื่อสืบสานกิจการค้าขายหรืองานฝีมือของครอบครัวและบรรพบุรุษเพราะได้เห็นโอกาสและความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงในสุขสยาม ยิ่งไปกว่านั้นผู้ประกอบการหลายรายได้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวจนได้มีโอกาสไปทำธุรกิจในต่างประเทศอีกด้วย
- O.D.S. Objects of Desire Store ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ ศูนย์รวมสินค้าไลฟ์สไตล์และของตกแต่งบ้านสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นการทำงานร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (DITP) โดยคัดเลือกสินค้าจากโครงการ DEMark, Talent Thai และอื่นๆ เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์และงานออกแบบที่โดดเด่นของดีไซเนอร์ไทยที่ชนะรางวัลมาแล้วรวมกว่า 130 แบรนด์ มาไว้ในพื้นที่ 620 ตารางเมตร ให้เป็นเวทีที่เปิดให้ทั่วโลกได้มาสัมผัสและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าไปยังในต่างประเทศอีกด้วย
- ICONCRAFT ‘ไอคอนคราฟต์’ ชั้น 4 และ ชั้น 5 ไอคอนสยาม ที่รวบรวมงานนวัตศิลป์และงานคราฟต์ แบบร่วมสมัยหลากหลายประเภทไว้ในที่เดียว เปิดโอกาสให้ช่างฝีมือไทย ดีไซเนอร์ และผู้ประกอบการ SME เข้ามาค้าขายในไอคอนคราฟต์ถึง 500 ราย บนพื้นที่กว่า 2,500 ตารางเมตร เราทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ในการบ่มเพาะผู้ประกอบการและขยายผลผลิตด้วยการจัดหาพันธมิตร โดยสยามพิวรรธน์มีทีมที่เข้าไปช่วยผู้ประกอบการ และนักออกแบบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ มีการสอนการทำธุรกิจโดยใช้ระบบ data management การทำ E platform ช่วยหาสปอนเซอร์เพื่อมาสนับสนุนธุรกิจ จับมือกับธนาคารกสิกรไทยในการสนับสนุนให้ความรู้การบริหารจัดการเงินหาช่องทางจัดจำหน่ายอื่นๆ และการประชาสัมพันธ์ ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อสร้างรายได้ ต่อยอดความสามารถ ทำให้มีความภาคภูมิใจที่ได้มีสถานที่จำหน่ายสินค้าที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชม และเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศอีกด้วย

2) มิติชุมชนและสังคม: สร้างความเจริญและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชนโดยรอบโครงการ
เมื่อสยามพิวรรธน์ได้เข้าไปพัฒนาธุรกิจในพื้นที่ใดจะต้องนำความเจริญ และความสะดวกสบายเข้าไปช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน สังคม ดังนั้นสยามพิวรรธน์จึงมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างคุณค่าให้กับพื้นที่โดยรอบโครงการที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ ทำประโยชน์ให้กับชุมชนธุรกิจที่อยู่รายล้อม ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน ตลอดจนสร้างพื้นที่ด้วยแนวคิดอารยสถาปัตย์ เพื่อคนทั้งมวล
นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานปฏิบัติการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า สยามพิวรรธน์ถือเป็นผู้นำเรื่องการทำอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ในอาคารอย่างครบวงจรเป็นรายแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการและผู้ทุพพลภาพรวมถึงผู้สูงอายุและคนทั้งมวลให้เข้าถึงอย่างเท่าเทียม
- สยามพิวรรธน์ มีการลงทุนออกแบบก่อสร้างอาคารที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่ใช้งานที่ได้มาตรฐานอารยสถาปัตย์สากลในทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการทำทางเข้า-ออกอาคารที่เชื่อมโยงกับทางเดินและทางลาดรอบอาคารและเชื่อมต่อกับอาคารจอดรถ การติดตั้งนวัตกรรมอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกอาคารในพื้นที่วันสยาม (OneSiam) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุหรือผู้ใช้รถเข็นทุกประเภทสามารถสัญจรไปมาเชื่อมต่อในพื้นที่วันสยาม (OneSiam) อันประกอบด้วย สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ และสยามพารากอนได้อย่างง่ายดาย มีลิฟต์ขนาดกว้างใหญ่สำหรับรถเข็นทุกประเภท ลิฟต์ราวบันได การติดป้ายสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายแสดงสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ทุพพลภาพที่ได้มาตรฐานบริการทุกชั้น และที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ทุพพลภาพ
- ร่วมมือกับพันธมิตรพลังสยามทำการปรับปรุงทางเชื่อมแยกปทุมวัน ให้เป็น skywalk ด้วยแนวคิดการออกแบบอารยสถาปัตย์ เพื่อให้ผู้คนสามารถสัญจรบนทางเชื่อมได้อย่างสะดวกและทั่วถึงตลอดสี่แยก
นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มโครงการ ไอคอนสยามได้มีนโยบายที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาโดยรอบ สนับสนุนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ช่วยส่งเสริมต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน สืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยอันดีงามที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของผู้คนริมน้ำเจ้าพระยามาช้านาน ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อไม่ทำให้การพัฒนาโครงการส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนในชุมชนโดยรอบ
- ลงทุนพัฒนาโครงสร้างระบบขนส่งมวลชนสาธารณะให้กับพื้นที่โดยรอบ รถไฟฟ้าสายสีทองซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวผ่านถนนเจริญนครไปสิ้นสุดที่โรงพยาบาลตากสินรวม 3 สถานี และในอนาคตจะเป็น Feeder Line ที่เชื่อมเข้ากับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงขณะนี้อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้กลางปี 2563 ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เอกชนผู้พัฒนาโครงการใหญ่เข้ามาสนับสนุนเพื่อช่วยลดปัญหาการจราจรที่อาจเกิดตามมา
- มีการทำงานร่วมกับชุมชนและองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับแม่น้ำเพื่อพัฒนาแผนแม่บททางสัญจรทั้งทาง รถ-ราง-เรือ ให้เชื่อมต่อถึงกันทั้งหมดและเชื่อมต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมีการสร้างท่าเรือ 4 ท่าเรือ ที่มีมาตรการความปลอดภัยแบบใหม่ โดยเชื่อมโยงกับท่าเรือ 73 ท่าเรือ ใน 10 กิโลเมตร โดยได้ทำงานร่วมกับกรมเจ้าท่าและศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมืองของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ออกแบบท่าเรือไอคอนสยามซึ่งจัดให้มีทางลาดขึ้นลงของผู้พิการและผู้ทุพพลภาพโดยเฉพาะแยกจากผู้โดยสารอื่นและเป็นมิตรกับคนทั้งมวล จนเรียกได้ว่าเป็นโครงการตัวอย่างระดับโลกของการออกแบบที่เป็นสากลและรองรับคนทุกกลุ่มในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน
- จัดพื้นที่พิเศษที่เรียกว่า ธนบุรีดีไลท์ เพื่อให้ชุมชนที่อยู่โดยรอบนำของดีของเด่นของชุมชนย่านฝั่งธนบุรีมาจำหน่าย
- เปิดให้ใช้พื้นที่บริเวณริเวอร์พาร์ค เพื่อให้ชุมชนสามารถมาใช้ประโยชน์ มาออกกำลังกายได้เสมือนเป็นระเบียงหน้าบ้าน
- ส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต 13 ชุมชน ในหลายมิติ เช่น จัดทำโครงการททูตน้อยไอคอนสยามที่เปิดโอกาสให้เยาวชนมาเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม, อนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชนที่ดีงาม, มอบทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ เป็นต้น
- ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา และองค์กรพันธมิตร ในโครงการ “รักษ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ร่วมกันพัฒนาและจัดการน้ำอย่างยั่งยืน” เพื่อมุ่งเน้นการให้ความรู้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้อาศัยในพื้นที่ได้ร่วมฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันนำไปสู่การใช้ชีวิตริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างยั่งยืน
- ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการริเริ่มศูนย์ชุมชนฯ ในพื้นที่กะดีจีน-คลองสาน ที่มุ่งหวังที่จะให้ศูนย์ชุมชนแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อนุรักษ์สืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามมาหลายยุคสมัย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พร้อมการสร้างรายได้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสร้างความภาคภูมิใจในชุมชน

- มิติสิ่งแวดล้อม: สร้างความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม สร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการดูแลโลกใบนี้
นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ กล่าวว่า สยามพิวรรธน์มีนโยบายและแนวปฎิบัติในเรื่องการดูแลรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกๆ พื้นที่ที่ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจ สร้างความสมดุลในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การใช้พื้นที่ในทุกโครงการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ ตลอดจนกระตุ้นให้สังคมไทยเกิดการตื่นตัวและรับรู้ โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือกันช่วยลดภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่ทุกคนจะได้ร่วมกันดูแล และส่งต่อโลกที่สวยงามให้กับคนรุ่นหลังต่อไป
- การใช้สยามดิสคัฟเวอรี่เป็นต้นแบบของแนวคิดของโครงการที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งนี้เพื่อให้เราเป็นสถานที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่สนับสนุนให้คนใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน กระตุ้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนิสิตนักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไป ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ ผ่านกิจกรรม 100 ดีไซน์ การใช้พื้นที่ภายในสยามดิสคัฟเวอรี่ เสมือนเป็นห้องเรียนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นำวัสดุ recycle มาทำเป็นต้นคริสต์มาส เป็นต้น
- การผสมผสานวิถีชีวิตคนยุคใหม่ให้เข้ากันได้กับสินค้าที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังประโยคที่ว่า Lifestyles in Harmony with Nature ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ และผู้ประกอบการร้านค้า ภายใต้กลยุทธ์ “The Future of Sustainability in Retail” ซึ่งเป็นการดำเนินงานอย่างครบวงจร ตั้งแต่ ระดับนโยบาย จนถึงปลายทาง ลูกค้า มีการกำหนดนโยบายบัญญัติ 10 ประการ เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติกับทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มค้าปลีกของสยามพิวรรธน์ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
- การลด ละ เลิกใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (One Single use Plastic) โดยเริ่มใช้ถุงกระดาษใส่สินค้าให้กับลูกค้ามาตั้งแต่ปี 2559 และในปีนี้เรายังร่วมมือกับบริษัทธุรกิจเพื่อสังคม ในการนำ application มาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นและสร้างจิตสำนึกให้ลูกค้าลด ละ เลิก การขอรับผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่น หลอด ช้อนส้อม นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังคงมีแผนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องระยะยาวที่จะสร้างประโยชน์คืนกลับสู่ลูกค้าและสังคม
- สยามดิสคัฟเวอรี่ให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์รักษ์โลกหลากหลายหมวดหมู่ ณ Ecotopia
- การจัดตั้ง Green Fund โดยสยามพิวรรธน์จะร่วมมือกับพันธมิตรทาง Green Organization จัดสรรเงินงบประมาณ การจัดโครงการ หรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำไปเป็นเงินกองทุนสนับสนุนในการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดการดูแล รักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
- มีการจัดทำหนังสือ “เขียวสยาม” เพื่อเผยแพร่ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมไปยังกลุ่มเป้าหมาย
นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ กล่าวเสริมว่า จากปัญหาสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงอันส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในปัจจุบัน และเป็นปัญหาของชุมชนโลกที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันรับผิดชอบ สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญกับผลกระทบต่างๆเหล่านี้มานาน และได้ดำเนินการเพื่อดูแลรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพในทุกๆ พื้นที่ นำหลัก 3Rs ได้แก่ Reduce Reuse Recycle มาใช้จัดการสิ่งแวดล้อมของอาคารต่างๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 10 ปี
- สยามพิวรรธน์จึงมุ่งเน้นการดำเนินการเพื่อประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้เข้าร่วมโครงการชดเชยคาร์บอน ซึ่งจัดขึ้นโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และ การจับมือกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมเพื่อเข้าร่วมโครงการ “ต้นแบบเครือข่ายกรุงเทพฯ สีเขียว” กำหนดแผนการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน อาทิ เลือกใช้หลอดไฟประเภท LED ในทุกโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
- ไอคอนสยามนำพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จาก Solar Rooftop เพื่อทดแทนการจ่ายไฟฟ้าสำหรับการจ่ายไฟฟ้าแสงสว่างให้กับอาคารจอดรถของ ICONSIAM เป็นเวลา 1 เดือน มีการออกแบบ Electrostatic Air Cleaner เพื่อดักจับละอองน้ำมัน ดูดกรองกลิ่นก่อนปล่อยกลิ่นจากการประกอบอาหารออกสู่สิ่งแวดล้อม และการสร้างพื้นที่สีเขียวรวม 4,000 ตารางเมตร
- Eco Charger Station สถานีบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ณ อาคารจอดรถสยาม และอาคารจอดรถสยามพารากอน และไอคอนสยาม
- การทำระบบน้ำหมุนเวียน (water reuse system)
- ร่วมโครงการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ ให้แก่ผู้บริโภคและประชาชน พร้อมกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวที่จะนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และมีการบริหารจัดการคัดแยกขยะ recycle ทุกวันอย่างเป็นระบบ
ในวันนี้ สยามพิวรรธน์มุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรที่สร้างคุณค่า ต่อผู้คน ชุมชนสังคม ประเทศชาติ ด้วยการเอื้ออำนวยประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นในวงกว้าง ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ตลอดจนยกระดับสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน และ พร้อมเดินหน้าโครงการ Citizen of Love by Siam Piwat เพื่อสืบสานและแบ่งปันความรัก มอบโอกาสในการสร้างความภาคภูมิใจและความเท่าเทียมให้กับคนทั้งมวลอย่างทั่วถึง ผ่านการจัดกิจกรรมเพื่อให้ลูกค้า และพันธมิตรร่วมกันมอบของขวัญปีใหม่ให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาส ด้วยการจัดทำกระเป๋าเป้ พร้อมอุปกรณ์การเรียนใส่ความสุขและความรู้ ส่งมอบให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 26,500 คนจาก 218 โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อเป็นกำลังใจและก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษาอย่างมีความสุขเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 โดยประชาชนทั่วไปสามารถร่วมบริจาคกับโครงการได้ ณ จุดรับบริจาค ชั้น M สยามเซ็นเตอร์ (ทางเชื่อมลานพาร์ค พารากอน) ชั้น 3 สยามพารากอน (หน้าร้าน The Cloud: Sansiri x The Coffee Club) ชั้น 1 สยามดิสคัฟเวอรี่ (สะพานทางเชื่อม) ชั้น M ไอคอนสยาม (หน้าร้าน L’Occitane) ตั้งแต่วันนี้จนถึง 5 มกราคม 2563
–
