เพราะธุรกิจที่มีกำไรของสินค้าต่อชิ้นต่ำ จำเป็นต้องพึ่ง Volume ที่เยอะและสเกลขนาดใหญ่ในการทำ เพื่อให้เม็ดเงินและแรงที่ลงไปเกิดความคุ้มค่า

เช่นเดียวกับ GET แอปพลิเคชันที่เอาไว้เรียกมอเตอร์ไซค์วิน-สั่งอาหาร-และส่งของ ที่ทุก Transaction จะต้องแบ่งให้กับ Driver จนทำให้ GET เหลือกำไรต่อครั้งเพียงน้อยนิด

และไม่ใช่แค่กับ GET เท่านั้น เพราะคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Grab หรือ Line Man ก็เป็นแบบนี้ด้วยเช่นกัน

แต่ต่างกันตรงที่ Grab มีบริการที่ครอบคลุมกว่า เป็นเจ้าตลาดทั้งในแง่ของ Food Delivery และแอปเรียกรถ

ส่วนรายหลังอย่าง Lineman ที่แม้จะมีจุดอ่อนในเรื่องค่าส่งราคาแพง แต่อย่าลืมว่า LineMan มีแต้มต่อสำคัญ นั่นคือการเป็นซุปเปอร์แอปที่หากวันหนึ่ง Lineman อยากจะลุกขึ้นมารุกตลาดนี้อย่างจริงจังมากกว่านี้ การทำค่าส่งให้ถูกลงก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา

โดยตั้งแต่เริ่มเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 62 GET เลือกที่จะเดินในเกมของการสร้าง Brand Awareness เพื่อทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก ควบคู่กับการทำโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดใจให้คนดาวน์โหลด GET มาใช้

จนเมื่อแบรนด์ติดตลาดเป็นที่เรียบร้อย ในปี 63 นี้เราจะได้เห็น GET เริ่มเดินในเกมการสร้างรายได้และกำไรให้กับธุรกิจมากขึ้น

ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘Sustainable Growth’ ที่จะไม่พึ่งการแจก Voucher หรือส่วนลดมากเท่าแต่ก่อน เพราะหากยังคงเล่น Price War ต่อไป ตัวเลขของ GET ก็คงจะไม่เปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีเขียวสักที

โดยกลยุทธ์ Sustainable Growth นี้ยังรวมไปถึงการที่ GET จะพัฒนาแอปให้สามารถสั่งอาหารได้เร็วขึ้น จากอดีตที่พอลูกค้าสั่ง Driver กดรับ แล้ว Driver ก็ขับไปสั่งหน้าร้านเพื่อนั่งรอร้านทำอาหาร

ก็จะเปลี่ยนมาเป็นการที่เมื่อมีคนสั่ง แล้ว Driver กดรับ ออร์เดอร์จากคนสั่งก็จะถูกคอนเฟิร์มและส่งไปยังร้านค้าโดยทันที ทำให้ประหยัดเวลามากขึ้น Driver ไม่ต้องนั่งรอนานเท่าแต่ก่อน

ซึ่งความเร็วถือเป็นอีกหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ Food Delivery ที่ในตอนนี้การสั่งอาหารผ่าน GET คนสั่งจะต้องใช้เวลาในการรอเฉลี่ยอยู่ที่ 28 นาที

(ทีมผู้บริหาร GET)

พร้อมเปิดบริการใหม่ๆ อย่าง GET PAY ซึ่งเป็น E-Wallet ที่ให้ผู้ใช้งานเติมเงินเข้าไปในระบบ เมื่อเกิด Transaction ก็สามารถตัดเงินผ่าน GET PAY ได้ทันที เป็นบริการที่ตอบโจทย์คนไม่มีบัตรเครดิต ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีสัดส่วนจำนวนมากในประเทศไทย

รวมถึงการเปิดบริการ GET RUNNER ด้วยเหตุผลที่ว่า การใช้คนเดินส่งนั้นมีข้อดีกว่ามอเตอร์ไซค์หลายเท่าตัว เพราะการเดินส่งไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ทั้งยังใช้เวลาในการจัดส่งที่เร็วกว่าเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 19 นาที

โดย ณ ขณะนี้รายได้หลักของ GET ยังคงมาจากร้านค้าที่อยู่ในระบบของพวกเขาเป็นหลัก ส่วนในปีหน้า GET จะขยายช่องทางรายได้ด้วยการทำ Micro Loan หรือสินเชื่อขนาดย่อม

เพราะ Driver บางคนหรือร้านค้ารายเล็กๆ บางร้านไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลทางการเงินในระบบ

แต่ GET มี Data ทั้งของคนขับและร้านค้า สามารถดูได้ว่าว่าคนกลุ่มนี้มีรายได้เข้ามาต่อเดือนผ่าน GET เท่าไร และสามารถส่ง Data เหล่านี้เพื่อให้ธนาคารพิจารณาการปล่อยกู้สินเชื่อได้

อีกช่องทางก็คือการนำ Data ในระบบมาต่อยอดในการทำโฆษณา ให้ร้านค้าหรือแบรนด์ต่างๆ ทำการตลาดได้ตรงจุดมากขึ้น

และแม้ GET จะไม่ใช่ซุปเปอร์แอปเหมือนกับ Line Man หรือไม่ได้มีบริการครอบคลุมเท่ากับ Grab

แต่ก็อย่าลืมว่า GET มีจุดแข็งที่สำคัญ คือ Go-Jek ซึ่งเป็นแอป Ride Hailing และ Food Delivery อันดับ 1 ในอินโดนีเซียหนุนหลังอยู่ ทั้งเรื่องของเงินทุนและ Know-How ต่างๆ ในการทำธุรกิจนี้

ส่วนการลุกขึ้นมาขยับปรับตัวของ GET ในครั้งนี้จะทำให้ตลาด Food Delivery ในปีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไร คงเป็นเรื่องที่ต้องมาจับตาดูกันต่อไป


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer