น้ำมันมรกต ไม่ใช่แค่ผู้นำตลาด แต่ต้องเชี่ยวชาญและนำเทรนด์ที่ถูกต้อง (วิเคราะห์)
“แม้การครองตำแหน่ง No.1 Brand Thailand ติดต่อกัน 6 ปี จะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์มรกตในหลาย ๆ มิติได้ชัดเจน แต่การดำเนินธุรกิจไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ เพื่อรักษาตำแหน่ง No.1 ในใจผู้บริโภค และส่งต่อน้ำมันพืชที่มีคุณภาพให้กับคนไทย มรกตจะยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ การรักษาและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีอยู่เสมอต่อไป”
ประโยคที่ผู้บริหารมรกตย้ำกับ Marketeer ในวันที่เราเดินทางเพื่อไปพูดคุยกับ คุณนุชนาถ สุขมงคล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ ออยส์ มรกต จำกัด (มหาชน) กับเหตุผลที่ทำไม มรกตจึงเป็นแบรนด์น้ำมันพืชเบอร์หนึ่งในใจผู้บริโภคตลอดมา
คุณภาพ คือหัวใจของความสำเร็จ
จากจุดเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ผลิตน้ำมันพืชประกอบอาหารจากปาล์ม เวลาผ่านมากว่า 39 ปี มรกตมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งขยายการผลิต ต่อยอดสินค้าในหมวดต่าง ๆ จนวันนี้ภาพลักษณ์ของมรกตไม่ใช่แค่ผู้ผลิตน้ำมันพืชประกอบอาหาร แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำเทรนด์ในตลาด Cooking Oil
ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยน หนึ่งสิ่งที่มรกตยึดมั่นมาตลอด 39 ปี นั่นคือ การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด โดยคัดเลือกวัตถุดิบด้วยความพิถีพิถัน มีการตรวจสอบ การควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต
ปัจจุบัน “เรามีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและครอบคลุม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้มรกตครองใจผู้บริโภคได้คือ “การรักษาและพัฒนาคุณภาพสินค้า” ให้ดีอยู่เสมอ เราให้ความสำคัญตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ น้ำมันปาล์มดิบคุณภาพเกรด A โดยมีการตรวจคุณภาพอย่างเข้มงวด ตลอดจนกระบวนการผลิตที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการ Monitor ทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานแบบ Consistency เพราะหากกระบวนการผลิตไม่ดีพอน้ำมันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้หากเก็บไว้เป็นเวลานาน เราจึงควบคุมทุกกระบวนการผลิตก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค เพื่อให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่ตั้งไว้”
“ทำให้ที่ผ่านมาแม้การแข่งขันในตลาดจะดุเดือดแค่ไหนหรือมีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้น ผู้บริโภคยังคงเลือกใช้น้ำมันพืชมรกตเสมอมา”
ความยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ด้านการดำเนินธุรกิจผู้ที่ใกล้ชิดกับมรกตจะทราบดีว่า มรกตก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับพาผู้มีส่วนร่วมหรือ Supply Chain ต้นน้ำตลอดจนปลายน้ำก้าวไปด้วยกัน สะท้อนจากการดูแลสนับสนุนให้ความรู้ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญกับเกษตรกร การรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบที่เกษตรกรปลูกได้ รวมถึงการสนับสนุนการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน หรือ RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) ที่ครอบคลุมมิติความยั่งยืนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม
“ในประเทศไทยมีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม RSPO ที่ได้รับการการันตีว่าไม่ได้ทำการเกษตรแบบบุกรุกทำลายป่า มรกตมีส่วนสนับสนุนเกษตรกรกลุ่มนี้ และรับซื้อผลผลิตที่ได้มาเป็นวัตถุดิบ ด้านการดำเนินธุรกิจในส่วนของพาร์ตเนอร์มรกตมีนโยบายชัดเจนในเรื่องการทำธุรกิจที่โปร่งใส เรามีจรรยาบรรณในการทำธุรกิจ และมีการแจ้งกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่การดูแลพนักงาน นอกจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านคุณธรรมจริยธรรม และทักษะความรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว มรกตเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ในขั้นตอนกระบวนการด้านต่าง ๆ ในการทำงานของบริษัทมาโดยตลอด เพราะเราเชื่อว่ายิ่งพนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรมากเท่าไรก็ยิ่งจะรักองค์กรและทำงานอย่างมีความสุข” คุณนุชนาถอธิบาย
น้ำมันมรกต ไม่ใช่แค่ผู้นำตลาด แต่ต้องเชี่ยวชาญและนำเทรนด์ที่ถูกต้อง
เมื่อถามถึงก้าวต่อไปของมรกตในวันที่ตลาดเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน คุณนุชนาถกล่าวว่า “แม้การครองตำแหน่ง No.1 Brand Thailand ติดต่อกัน 6 ปี จะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์มรกตในหลาย ๆ มิติได้ชัดเจน แต่การดำเนินธุรกิจไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ เพื่อรักษาตำแหน่ง No.1 ในใจผู้บริโภค และส่งต่อน้ำมันพืชที่มีคุณภาพให้กับคนไทย มรกตจะยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ การรักษาและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีอยู่เสมอต่อไป”
“มรกตตั้ง Positioning ตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันพืช เพราะฉะนั้นหากผู้บริโภคต้องการ น้ำมันพืชในลักษณะไหน มรกตตอบโจทย์ครบทุก Segment เพราะนอกจากการเป็นผู้นำตลาดในด้านผู้ผลิตน้ำมันปาล์มแล้ว เรายังเป็นผู้นำในการสร้างผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชเพื่อสุขภาพชนิดต่างๆ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบของน้ำมันผสมให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้บริโภค ซึ่งเราดึงเอาส่วนที่ดีและเป็นประโยชน์ทางโภชนาการของวัตถุดิบแต่ละชนิดมาพัฒนาให้เป็นน้ำมันพืชที่เหมาะสมสำหรับการทำอาหารแต่ละประเภท เช่น ผัด ทอด หรือทำน้ำสลัด”
“โดยมีการปรับสูตรภายใต้แบรนด์ ‘เอ็มเมอรัล’ (EMERALD) ที่มีทั้งหมด 4 สูตร สำหรับสูตรสมดุลผัด ทอด, สูตรสำหรับทอด, สูตรสำหรับผัด และสูตรสำหรับทำน้ำสลัด, ผัด
และในปี 2019 เราได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพอีกหนึ่งชนิด คือ น้ำมันรำข้าว ภายใต้แบรนด์มรกต และแบรนด์ทิพ ทำให้เรามีน้ำมันพืชหลากหลายชนิดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน”
“สำหรับปีนี้เรามีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการบรรจุใหม่ให้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญได้มีการปรับโฉมขวดและฉลากน้ำมันพืชมรกตให้ทันสมัยมากขึ้น โดยมีการใส่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เรื่องน้ำมันพืช เพื่อเป็นการสื่อสารไปยังผู้บริโภคผ่านทางฉลากสินค้าไปในตัว”
นอกจากเป็นผู้นำเทรนด์น้ำมันเพื่อสุขภาพในตลาดแล้ว มรกตยังเป็นผู้สร้างเทรนด์ที่ถูกต้องให้กับผู้บริโภค โดยการสร้าง Community เพื่อถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับน้ำมันและการประกอบอาหาร ผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเพจเฟซบุ๊ก @MorakotOil ขณะที่ช่องทางออฟไลน์ มรกตได้ร่วมมือกับสถาบันโรคหัวใจ โดยให้การสนับสนุนการประชุมทางวิชาการ หรือวิชาชีพ (Conference) ของหมอและพยาบาลในการสร้างฐานความรู้ที่ถูกต้องในอนาคต
“ปัจจุบันเทรนด์เรื่องสุขภาพกำลังมาแรง ขณะที่การแบ่งปันหรือแชร์ข้อมูลเองก็สามารถทำได้เร็วขึ้นผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งมีข้อมูลมากมายทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันพืชคือหนึ่งในเรื่องที่เป็นกระแสและมีการแชร์ต่อ มรกตเองในฐานะผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันพืช เราถือว่าเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมในการออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันพืชที่ถูกต้องจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ เช่น การมอบความรู้ และสร้างค่านิยมในการเลือกน้ำมันที่มีคุณภาพและใช้ให้ถูกประเภท เพราะที่ผ่านมาคนไทยเชื่อว่าน้ำมันขวดเดียวสามารถประกอบอาหาร ผัด แกง ทอด ได้ทุกอย่าง ซึ่งในความเป็นจริงน้ำมันแต่ละประเภทเหมาะสำหรับการปรุงอาหารแตกต่างกันไป”
ที่หนึ่งในใจพร้อมเคียงข้างคนไทยทุกสถานการณ์
การที่จะเป็นแบรนด์เลิฟได้อย่างสมบูรณ์คงไม่ใช่แค่การผลิตสินค้าที่ดี มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย แต่ต้องเป็นแบรนด์ที่ใกล้ชิดและยืนหยัดเคียงข้างผู้บริโภคและผู้มีส่วนร่วมในทุกสถานการณ์ และเมื่อวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิดที่ผ่านมา มรกตได้อยู่เคียงข้างทั้งผู้บริโภคและพนักงานผู้เป็นกำลังสำคัญขององค์กร
“การช่วยเหลือด้านสังคม มรกตสนับสนุนน้ำมันพืชให้กับร้านอาหาร ที่ทำอาหารให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในกรุงเทพฯ มีการสนับสนุนน้ำมันพืชมรกตสำหรับใส่ถุงยังชีพร่วมกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงมีโครงการมอบถุงน้ำใจมรกต ให้กับชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อนจำนวน 6,000 ครอบครัว” ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
“ขณะที่การดูแลพนักงาน บุคลากรสำคัญขององค์กร แม้บริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ซบเซาลง กำลังซื้อโดยรวมของประชาชนถดถอย อีกทั้งธุรกิจร้านอาหารที่เป็นลูกค้าหลักได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันพืชลดน้อยลง แต่เรายังคงดูแลพนักงานให้มีงานทำ ให้ได้รับเงินเดือนและสวัสดิการตามเดิม อีกทั้งสนองนโยบายรัฐบาล โดยให้พนักงานในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายการผลิต ทำงานที่บ้าน (Work from home) ให้คงเฉพาะพนักงานที่จำเป็นต่อการผลิตเท่านั้นจะเข้ามาทำงานที่โรงงาน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการผลิตน้ำมันพืชออกสู่ตลาดให้ถึงมือผู้บริโภค”
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ