ภาษีอีเซอร์วิส เก็บแล้วประเทศได้อะไร ? วิเคราะห์ผลกระทบทั้งทางบวกและลบที่มีต่อดิจิทัลแพลตฟอร์ม
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ในเรื่องของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (e-Service) ด้วยการให้ผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศที่ไม่ได้จดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย แต่มีการให้บริการและสร้างรายได้จากการให้บริการในประเทศไทย เช่น บริการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน เกม ซื้อไอเทมเกม คอนเทนต์ต่าง ๆ, บริการสตรีมมิ่ง หนัง เพลง บริการจองที่พักและอื่น ๆ ต้องจดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ในกรณีที่มีรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
ซึ่งการเห็นชอบแก้ไข พ.ร.บ. ภาษีอี-เซอร์วิส ในครั้งนี้ จะทำให้ไทยสร้างรายได้จากการเก็บภาษีมากถึง 3,000 ล้านบาทต่อปี ถือว่าเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถนำมาพัฒนาประเทศไทยได้
การเห็นชอบการแก้ไข พ.ร.บ. อี-เซอร์วิสดังกล่าว Marketeer มองว่ามีทั้งผลบวกและผลกระทบจากการเก็บภาษีในครั้งนี้
ผลทางบวก
ที่ผ่านมาดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยที่ไม่ได้จดทะเบียนบริษัทในประเทศ อย่างเช่น Netflix, Spotify, Apple Store ซึ่งเป็นหนึ่งในดิจิทัลแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย รวมถึงแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่เข้ามาสร้างรายได้จากการให้บริการในประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ต้องเสียภาษีจากรายได้ในการให้บริการ เนื่องจากไม่ได้เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย และบริการเหล่านี้สามารถให้บริการได้ผ่านอากาศ สามารถให้บริการจากที่ไหนก็ได้บนโลกนี้ ตราบใดที่มีอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อ
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาแม้จะมีดิจิทัลแพลตฟอร์มบริษัทข้ามชาติหลายบริษัท จดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย แต่ชำระภาษีตามกฎหมาย
แต่การเปิดบริษัทในประเทศไทยของบางแพลตฟอร์มไม่ได้ทำธุรกิจแบบตรงไปตรงมา คือเก็บค่าบริการในนามบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย แต่กลับอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย เก็บค่าบริการจากประเทศไทยผ่านบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และโดยส่วนใหญ่แล้วจะจดทะเบียนบริษัทในประเทศที่เรียกว่า Tax Haven ที่มีการเรียกเก็บภาษีที่ถูก เช่น ไอร์แลนด์ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี เกิดผลกำไรทางธุรกิจมากขึ้น
ทำให้เงินควรที่จะได้กลับมาเป็นภาษีบำรุงประเทศไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อเทียบกับเงินที่คนไทยได้จ่ายไปในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย
และหลายประเทศแก้ไขปัญหานี้โดยเรียกเก็บภาษีจากดิจิทัลแพลตฟอร์มในรูปแบบเดียวกัน
เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ ฝรั่งเศส นอร์เวย์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น
ส่วนผลกระทบของการเก็บ ภาษีอีเซอร์วิส อาจทำให้คนไทยจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการต่างๆ ให้กับแพลตฟอร์มต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากการที่แพลตฟอร์มคิดค่าบริการด้วยการบวกเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปในนั้นด้วย
ทั้งนี้ ผลกระทบกับผู้ใช้บริการมีมากน้อยแค่ไหน อาจจะต้องดูในอนาคตว่า แต่ละดิจิทัลแพลตฟอร์มมีการปรับตัวและตอบรับแนวทางการเก็บภาษีเรื่องนี้อย่างไร
แต่ก่อนจากกันเรามาดูกันหน่อยว่าดิจิทัลแพลตฟอร์มยอดนิยมจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย มีรายได้เท่าไร โดยเราขอหยิบยกเฉพาะแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือว่าเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย
เฟซบุ๊ก (ประเทศไทย) จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทในประเทศไทย 24 มี.ค. 2558 มีสัดส่วนการลงทุนจากสัญชาติอเมริกา 100% โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก (ประเทศไทย) แจ้งรายได้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าดังนี้
2560 113,751,875 บาท กำไร 5,578,377 บาท
2561 252,346,582 บาท กำไร 10,260,014 บาท
2562 348,741,888 บาท กำไร 15,350,505 บาท
ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท 29 พ.ค. 2557 โดยการก่อตั้งบริษัทไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) ถือหุ้นบริษัทสัญชาติไทย 50.02% เกาหลีใต้ 49.98%
ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) มีรายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาดังนี้
2560 817,050,934 บาท กำไร 77,859,783 บาท
2561 2,330,560,088 บาท ขาดทุน 475,879,068 บาท
2562 2,860,043,258 บาท กำไร 34,733,997 บาท
กูเกิล (ประเทศไทย) บริษัทที่จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทในวันที่ 18 ก.พ. 2552 ถือหุ้นโดยสัญชาติอเมริกัน 100%
รายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีรายได้ดังนี้
2560 650,036,578 บาท กำไร 37,987,142 บาท
2561 781,405,100 บาท กำไร 40,604,339 บาท
2562 917,100,934 บาท กำไร 36,634,631 บาท
ติ๊กต๊อก (ไทยแลนด์) แพลตฟอร์มที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงกักตัวอยู่บ้านที่ผ่านมา โดยติ๊กต๊อกจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยเมื่อ 8 ม.ค. 2562 ถือหุ้นโดยนักลงทุนสัญชาติไทย 51% จีน 49% และยังไม่มีรายได้ที่แจ้งกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
Website : Marketeeronline.co /
